ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด คุณแม่ควรพักผ่อนอย่างไรบ้าง อย่างน้อยควรนอนพักผ่อนช่วงกลางคืนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง ไม่ควรหยิบจับหรือยกสิ่งของหนัก เพราะเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อและมดลูกกลับคืนสู่สภาพปกติ หากคุณแม่ยกของหนัก อาจกระทบกระเทือนถึงอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานมดลูกได้ เคล็ดลับเพิ่มเวลาพัก 1.ช่วง 2 สัปดาห์แรกให้คุณพ่อหรือคนในครอบครัวช่วยดูแลลูกตอนกลางคืนแม่ได้นอนพักเต็ม ๆ ก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้น 2.หลังอาหารกลางวันอาจหาเวลาพักผ่อนให้ได้ประมาณ 30 นาที 3.เมื่อลูกหลับคุณแม่หลับด้วย แม้บางครั้งจะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็ช่วยให้แม่สดชื่นได้ 4.อย่ากังวลถึงงานการคั่งค้างมากเกินไป เลือกทำเฉพาะที่จำเป็นก่อน ขอให้แม่ ๆ ทุกท่านฟื้นตัวเร็ว ๆ นะคะ
คุณพ่อคุณแม่เคยนึกมั้ยคะว่า จะเตรียมอะไรมอบเป็นของขวัญให้ลูกแรกเกิดและยังสร้างความประทับใจให้กับเขาไปจนถึงตอนโต ขอแนะนำ Horokid หนังสือคำทำนายที่คุณพ่อคุณแม่สร้างเพื่อลูกโดยเฉพาะ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำให้กับเด็ก ๆ ค่ะ เนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะ ?ภายในหนังสือจะบอกเล่าถึงลักษณะนิสัยของเด็กตามช่วงเวลาเกิดของเด็กแต่ละคน บอกปีนักษัตร ราศีเกิด โดยคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสร้างเนื้อหาจากการใส่ข้อมูล วัน เดือน ปีเกิด กรุ๊ปเลือด ของลูก แล้วคุณพ่อคุณแม่ยังเขียนคำอวยพรจากใจสู่ลูกได้ด้วยนะคะ ถ้าอยากสร้างให้ลูกรักซักเล่มนึงต้องทำยังไงบ้าง ?ง่ายมาก ๆ ค่ะ เข้าไปในเว็บไซต์ Horokid เข้าไปกรอกข้อมูล ใส่ชื่อลูก วันเดือนปีเกิดของลูก พิมพ์คำอวยพรหรือข้อความซึ้ง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่อยากจะบอกลูก ไม่เกิน 10 วันก็จะได้รับหนังสือส่งมาทางไปรษณีย์ค่ะ เท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ของขวัญชิ้นพิเศษสุดที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกมอบให้ลูกรักแล้วค่ะ
วันว่างพาลูกไปเที่ยว Imaginia Playland สวนสนุกแห่งจินตนาการ สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบใหม่อินเตอร์แอคทีฟสุดไฮเทคแห่งแรกในอาเซียน บนพื้นที่ 1,400 ตารางเมตร ชั้น 3 โซน Em Playground ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม เด็ก ๆ จะได้สนุกกับโซนไอเดียสร้างสรรค์ ทั้งศิลปะ ดนตรี ผจญภัย ปีนป่าย หนังสือ การเล่านิทานแนวใหม่ มีอะไรเด็ด ๆ บ้างตามมาชมกันเลยค่ะ Sound Cloud เด็ก ๆ จะเพลิดเพลินกับการสร้างบทเพลงของตัวเอง ตามแสงของก้อนเมฆ โซนนี้ได้ฝึกใช้ความเร็วและสมาธิผ่นความสนุกสนานของดนตรีค่ะ Dream Jungle โซนนี้เด็ก ๆ ได้ปล่อยพลังปีนป่ายสุดมันส์กับตาข่ายยักษ์ Netscape สุดสนุกแห่งแรกในอาเซียน Art Gallery ชมงานศิลปะจากอาร์ติสดังทั่วโลก และสนุกกับการสร้างสรรค์ผลงานอาร์ต ๆ ด้วยตัวเอง Shadow Forest โซนนี้มาเล่นกับเงากันบ้าง เปิดโลกจินตนาการของเด็ก ๆ ผ่านการสร้างภาพเงาที่น่าตื่นตาตื่นใจ Knight's…
ถึงแม้ว่าความผิดพลาดจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง คุณหมอมินบานเย็นแนะนำคุณพ่อคุณแม่ปล่อยลูกให้มีโอกาสเรียนรู้จากความผิดพลาดบ้างเพื่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตนเอง ตามมาอ่านบทความของคุณหมอกันค่ะ ในชีวิตของคนเรานั้นสิ่งที่ปรารถนาก็คือความสำเร็จ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงความสำเร็จอย่างที่ใจหวัง ไม่ว่าเป็นใครก็ตามย่อมก็เคยพบกับความผิดพลาด สิ่งที่แตกต่างกันของแต่ละคนก็คือ ความสามารถที่จะจัดการกับความผิดพลาดนั้นๆ ได้หรือไม่ ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน ความรับผิดชอบ การเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก สุดท้ายคือ ไม่ท้อแท้แม้จะผิดพลาด แต่สามารถยืนหยัดที่จะก้าวต่อไป มีคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่ทนไม่ได้กับความผิดพลาดของลูกและมักจะอดไม่ได้ที่จะพยายามแก้ไขความผิดพลาดด้วยการเข้าไปจัดการเสียเอง ก่อนที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็มีประโยชน์ เพราะจะทำให้คนที่ผิดได้เรียนรู้ รับผิดชอบ และไม่ทำอีกคราวหน้า ผู้ใหญ่จึงควรให้เด็กได้เรียนรู้ในผลของการกระทำ คุณแม่ท่านหนึ่งที่หมอคุยด้วย ไม่สามารถจัดการกับพฤติกรรมของลูกสาว ลูกสาวคุณแม่ไม่ชอบทำการบ้าน บ่นว่ายาก ทำแล้วก็ผิด ทำไม่ได้ ไม่อยากจะทำ และเมื่อทุกครั้งที่ลูกไม่ยอมทำการบ้าน แม่ก็จะแก้ปัญหาด้วยการทำให้แทน ครูก็ไม่รู้ หรือจะรู้ก็ไม่ทราบ และลูกก็มีงานไปส่งทันทุกวัน เพราะลูกรู้ว่าแม้ว่าจะไม่ทำ สุดท้ายแม่ก็จะทำให้ คุณพ่ออีกท่านหนึ่ง บ่นให้หมอฟังว่า ลูกชอบทำห้องนอนสกปรก เสื้อผ้าใช้แล้วก็กองทิ้งไว้ เมื่อถามว่า แล้วเมื่อเขาไม่ยอมทำความสะอาดห้อง ไม่เอาเสื้อไปลงตะกร้า คุณพ่อทำยังไง คุณพ่อก็บอกว่า ก็ทำแทนให้ทุกๆ ครั้ง หมอเข้าใจว่า คุณพ่อคุณแม่คงจะทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกไม่มีการบ้านไปส่งครู…
ผิวเบบี๋ทั้งอ่อนบางและมีโอกาสแพ้ง่าย คุณแม่จึงต้องทะนุถนอมผิวของลูกน้อยในวัยนี้เป็นพิเศษโดยเฉพาะเบบี๋ในช่วงแรกเกิดปัญหาผิวที่มักกวนใจเป็นประจำก็คือผื่นผ้าอ้อมค่ะ เเมื่อมีผื่นผ้าอ้อมลูกน้อยอาจร้องโยเยเนื่องจากไม่สบายเนื้อสบายตัวสร้างความกังวลใจให้คุณแม่ปัญหานี้แก้ไข้ได้ไม่ยากค่ะเรามาทำความรู้จักกับสาเหตุกันก่อนสักนิด สาเหตุที่พบได้บ่อย 1.เกิดจากความเปียกชื้น ทั้งจากความชื้นเกิดจากการใส่ผ้าอ้อมในขณะที่ตัวยังไม่แห้งสนิท 2.การแช่อยู่ในผ้าอ้อมที่เปียกฉี่หรืออึนานเกินไป 3.การติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์อาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ ทารกที่รับประทานยาปฏิชีวนะมักจะไวต่อการเกิดผื่นผ้าอ้อมจากเชื้อยีสต์ แนะนำ 5 วิธีปกป้องผิวอันบอบบางของลูกจากผื่นผ้าอ้อม 1.หมั่นดูผ้าอ้อมลูกบ่อย ๆ ดูว่าเปียกชื้น ลูกอึฉี่หรือยัง อย่าปล่อยให้นอนแช่ผ้าอ้อมเปื้อนอยู่นาน ๆ ให้รีบเปลี่ยน 2.ล้างทำความสะอาดผิวลูกบริเวณที่อยู่ในผ้าอ้อมไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ทุกครั้งอาจใช้น้ำเปล่าบ้าง หรือใช้สบู่เด็กที่อ่อนโยนต่อผิวเด็ก ปราศจากน้ำหอมหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง อาจเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทออแกนิกเพื่อความปลอดภัยต่อลูกกน้อย 3.ใช้ผ้าสะอาดนุ่ม ๆ เช็ดผิวลูกอย่างอ่อนโยน เลี่ยงการใช้ทิชชู่เปียกที่ผสมน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการระคายเคือง 4.ปล่อยให้บริเวณผ้าอ้อมแห้งสนิทก่อนใส่ผ้าอ้อม 5.ทาปิโตรเลียมเจลลี่ หรือครีมป้องกันผื่นผ้าอ้อมก่อนให้ลูกใส่ผ้าอ้อม หากผื่นยังไม่หายไปภายใน 2-3 วัน หรือเป็นผื่นแดงมากขึ้นควรพาไปพบคุณหมอเพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์ค่ะ
“คุณหมอคะ ลูกดิฉันเป็นออทิสติก ตอนนี้อายุสิบปี รักษามาตั้งแต่เขายังเล็กๆ จนถึงตอนนี้ทั้งพ่อและแม่พยายามร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อจะทำให้ลูกดีขึ้น แต่บางครั้งลูกก็ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสม
ลูกชายของคุณแม่ดูภายนอกก็เป็นเด็กน่ารักปกติ แต่มีการพูดจาที่ไม่ค่อยถูกกาลเทศะ เช่น บางครั้งก็จะพูดอะไรตรงๆ ตามที่คิด เมื่อวานคุณแม่พาเขาไปเที่ยวห้างแห่งหนึ่ง ตอนขึ้นลิฟท์ลูกชายก็พูดกับผู้หญิงคนหนึ่งว่า “อ้วนจัง กินขนมเยอะ ไม่ออกกำลังกายใช่ไหมเนี่ย”ลูกชายอาจจะจำที่แม่เคยสอนไว้ว่า ถ้าอยากแข็งแรงต้องไม่อ้วน ต้องออกกำลังกาย ไม่กินขนมเยอะ แม่ก็ตกใจมากแต่ห้ามลูกไม่ทันแล้ว ผู้หญิงคนนั้นดูไม่พอใจมาก พูดเสียงดังกับแม่ต่อหน้าทุกคนว่า ทำไมไม่รู้จักสั่งสอนลูกให้พูดจาดีๆ ให้มีมารยาทสังคม เรารู้สึกแย่มากไม่อยากเป็นแม่ที่ไม่ดี
เราคงเคยได้ยินวาทกรรมของใครสักคน เวลาที่คนหนึ่งแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ไม่ดี ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ก็จะมีพูดออกมาเป็นการตำหนิประมาณว่า ‘เป็นลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน’ ซึ่งคงเป็นการสื่อว่า การที่คนคนหนึ่งมีพฤติกรรมเลวร้ายแบบนั้น น่าจะเกิดจาก ‘การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ที่ไม่ดีและไม่เหมาะสม’ เป็นแน่แท้
ในความเป็นจริง การที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตมาเป็นคนแบบไหน คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูอย่างเดียวอย่างกรณีของลูกคุณแม่ ลูกชายมีโรคออทิสติกซึ่งเป็นความผิดปกติทางสมองอย่างหนึ่ง และถึงแม้จะเป็นเด็กทั่วไป ก็ไม่ใช่มีเฉพาะการเลี้ยงดูอย่างเดียวที่จะเป็นตัวกำหนดหลักว่าคนคนนั้นจะเป็นอย่างไร มีการทำวิจัยมากมายในสากลที่ต้องการพิสูจน์ความจริงข้อนี้
Nature VS Nurture ? หมายถึง ‘ธรรมชาติกำหนด’ หรือ ‘การอบรมดูแล’ อะไรจะมีผลมากกว่ากับการหล่อหลอมเด็กคนหนึ่งจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ งานวิจัยต่างๆ พบว่า คงไม่มีปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดหรอกที่จะกำหนดว่า เด็กคนหนึ่งจะโตมาเป็นแบบไหน ทุกอย่างเป็น ‘ปัจจัยร่วมกัน’ ที่หล่อหลอมคนคนหนึ่งให้มาเป็นเช่นที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ แล้วปัจจัยอะไรบ้าง…
เดี๋ยวนี้สื่อต่างๆ ในประเทศไทย เช่น ละคร ข่าว ถ้าอะไรที่มีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง มักจะเป็นที่สนใจสำหรับคนทั่วไปมากเป็นพิเศษ
ถ้าพูดกันตามหลักจิตวิทยา ก็คงเป็นเพราะสัญชาตญาณในส่วนลึกของมนุษย์ก็มีความต้องการทำตามใจตัวเองและแนวโน้มจะรุนแรงอยู่ เพียงแต่ถูกขัดเกลาด้วยการเรียนรู้ หล่อหลอมด้วยกฎระเบียบของสังคม ศีลธรรมและมโนธรรมในใจ การขัดเกลาจึงมีความสำคัญ เริ่มที่จุดที่สำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนของพ่อแม่ และ
สิ่งแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนในเรื่องความรุนแรง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะเราอยู่ในสังคมที่ความรุนแรงถูกมองเป็นเรื่องธรรมดา หรือตลกขบขัน เราเห็นได้จากในสื่อต่าง ๆ ทั้งในยูทูป ภาพยนตร์ รายการตลก จะเห็นบ่อย ๆ ว่า มุขตลกที่ถูกนำมาเล่นบ่อย ๆ คือ การที่คนคนหนึ่งกระทำความรุนแรงกับอีกคน ไม่ว่าจะเป็น การแกล้ง รังแก ทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว ที่หมอจำได้เลย เห็นบ่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ คือ ภาพดาราตลกในรายการทีวีที่เอาถาดตีไปหัวอีกคน แล้วก็ขำกันไป
หมอเคยคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง พ่อแม่พามาตรวจเพราะเด็กชอบแกล้งเพื่อน เช่น ตบศีรษะ ผลักที่ตัว ใช้ขาขัดเวลาเพื่อนเดินผ่าน เพื่อนที่ถูกแกล้งมักจะมีอาการเจ็บเนื้อเจ็บตัว เพราะเด็กตัวใหญ่ แรงมาก ตอนที่คุยกับเด็ก ถามว่าทำไมถึงไปแกล้งเพื่อนล่ะ เด็กก็ตอบแบบไม่คิดอะไรว่า “ผมก็แค่อยากจะทำสนุก ๆ…
ไม่กี่เดือนก่อน หมอได้ดูละครเรื่องหนึ่ง ในละครเป็นฉากที่พ่อและลูกสาวกำลังพูดคุยกัน
“ห๊า! รถราคาสิบล้าน”
“ค่ะ ถูกมากนะคะ คุณพ่อซื้อให้พิมพ์นะคะ”
“แต่ว่า พ่อเพิ่งออกรถให้หนูใหม่ไม่ถึงสามเดือนนี้เองนะ
พ่อว่าอะไรที่ไม่จำเป็นอย่าเพิ่งซื้อเลย รถที่บ้านก็มีเยอะแยะ”
“โธ่ คุณพ่อ พิมพ์อยากได้คันใหม่ นะคุณพ่อ”
ด้วยความที่เป็นลูกสาวสุดที่รักยิ่งกว่าแก้วตา ในที่สุดพ่อก็ซื้อรถให้พิมพ์ แม้ว่าธุรกิจของพ่อจะมีปัญหาเรื่องการเงินอย่างหนัก ส่วนพิมพ์ก็ไม่เคยรู้ปัญหาของพ่อมาก่อนเลย แม่ของพิมพ์เสียไปตั้งแต่เด็ก เธอมีแต่พ่อที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเลี้ยงเธออย่างเอาใจและตามใจทุกอย่าง
เพราะพ่อมีฐานะร่ำรวย พิมพ์อยากได้อะไรพ่อก็ไม่เคยขัดใจ ทำให้เธอโตมาอย่างเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ประมาณโลกต้องหมุนรอบตัว วีนเหวี่ยงไปทุกเรื่องที่ไม่ตรงตามใจเธอ โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาพ่อเป็นที่พึ่งพาและเป็นทุกอย่างของพิมพ์ ทำให้พิมพ์ไม่เคยทุกข์ร้อนหรือผิดหวังจากเรื่องใดๆ เพราะมีพ่อคอยช่วยเหลืออุ้มชูเสมอมา จนวันหนึ่งที่พ่อจากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมกับทิ้งหนี้สินไว้กับธุรกิจล้มละลาย ชีวิตของพิมพ์ จากที่เป็นเหมือนกับหงส์ที่เฉิดฉาย ก็กลายเป็นดั่งหงส์ปีกหัก
มีคำพูดหนึ่งของพ่อที่พูดไว้ก่อนที่จะจากไป “พิมพ์ ชีวิตของคนเรามันไม่แน่นอน พ่ออยากให้ลูกจำไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งพ่อไม่มีเงินให้ลูกใช้เหมือนทุกวันนี้ แต่พ่อก็ยังรักลูกที่สุด”
แต่การที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตมาเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ ความรักของพ่อแม่อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คงจะต้องมีทักษะชีวิตอื่นๆ ที่พ่อแม่ต้องปลูกฝังให้เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ เพราะในชีวิตจริง ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ เวลาที่เป็นเด็กเล็กๆ สิ่งที่เด็กๆ อยากได้อาจจะเป็นของเล่น พอโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นอาจอยากได้เสื้อผ้าใหม่ๆ รองเท้าสวยๆ หรืออย่างพิมพ์ที่อยากได้รถราคาแพง สิ่งของเหล่านี้ เงินซื้อมาได้ ถ้าหากมีเงินพอก็คงไม่ยากที่จะทำตามความต้องการ
แต่ในชีวิตเราของบางอย่างที่ปรารถนา เงินอาจซื้อหามาไม่ได้ เช่น เพื่อนที่จริงใจ ความรักที่ดี สิ่งเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความจริงใจ…
ตั้งแต่คลอด เด็กๆ มักแวดล้อมไปด้วยพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย หากพ่อแม่และบุคคลใกล้ชิดให้ความรักอย่างสม่ำเสมอ ตอบสนองอย่างเหมาะสม และสนับสนุนพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ลูกก็น่าจะเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่มั่นใจและพร้อมจะเผชิญโลกกว้างได้ เมื่ออายุ 2-3 ปี เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มเข้าโรงเรียน การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ก็ไม่น่ายากนัก แต่หากพ่อแม่ไม่ได้เตรียมพร้อมก็อาจทำให้การปรับตัวเป็นไปได้ยาก
พ่อแม่สามารถช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จ ในการปรับตัวกับการเข้าโรงเรียนได้โดยช่วยลูก เตรียมพร้อมในหลายๆ ประเด็น ดังต่อไปนี้
ให้ความสัมพันธ์ที่มั่นคง ความสัมพันธ์หรือความผูกพันที่มั่นคงเกิดจากการที่ลูกกับพ่อแม่มีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ได้ และเหมาะสม เด็กเล็กต้องการการสัมผัส การโอบกอด การเล่น ที่เขารู้สึกได้ว่ามีความสนุกร่วมกัน มีความสนใจร่วมกัน รวมทั้งมีการชื่นชมด้วยหากมีโอกาส ความผูกพันที่มั่นคงนี้ จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคงในอารมณ์และมั่นใจในตนเองตามมา
ให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองเท่าที่จะทำได้ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว การใส่รองเท้า การกินข้าว การเก็บของเล่น เป็นต้น แน่นอนในวัย 2-3 ปี ยังทำกิจวัตรเหล่านี้ได้ไม่สมบูรณ์ แต่พ่อแม่ก็ควรเปิดโอกาสให้ทำเองโดยไม่ต้องคาดหวังผลเลิศนัก ในการกินลูกอาจจะยังใช้ช้อนไม่คล่อง อาจใช้มือหยิบจับของเข้าปากบ้าง อาจหกเลอะเทอะบ้าง พ่อแม่ต้องยอมให้เกิดขึ้นได้โดยไม่หงุดหงิด พร้อมทั้งแสดงความชื่นชมหากลูกทำได้ดี ในการ แต่งตัวลูกอาจเก้ ๆ กัง ๆ พ่อแม่ก็คงต้องเข้าไปช่วยบ้างตามความเหมาะสม…
“ต๊าย..ตาย..รองเท้าเปื้อนโคลนหมดแล้วลูก”
เสียงคุณแม่ยังสาววัยสามสิบต้นๆ ในชุดกีฬาดูทะมัดทะแมงพูดกับลูกชายวัยสามขวบ ยังไม่ทันสิ้นเสียงของคุณแม่ เสียงของลูกชายอีกคนก็ดังลั่นมาจากอีกด้านที่อยู่ไม่ไกลนัก
“มดกัด มดกัด....” เด็กชายวัยห้าขวบร้องพลางขยับเท้าไปมาพลาง มองเผินๆ เหมือนเต้นเบรคแด้นซ์ฝีมือใกล้เคียงมืออาชีพ
ไม่กี่วินาทีถัดจากนั้นเสียงคุณแม่ก็ประสานรับ
“แย่แล้ว...แย่แล้ว มดกัด มดกัด แตนไปดูน้องบอมหน่อยซิ” คุณแม่หันไปสั่งพี่เลี้ยงให้เข้าไปช่วยเหลือบอมเด็กชายวัยห้าขวบโดยด่วน
ภาพที่เห็นในขณะนี้ก็คือ มีนักเต้นอยู่สองคนคือเด็กชายวัยห้าขวบและสาวใหญ่วัยสามสิบกว่า แต่ที่ดูตื่นตระหนกมากกว่า น่าจะเป็นสาวใหญ่วัยสามสิบกว่าครับ
เหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้นที่สวนรถไฟซึ่งเป็นสวนสาธารณะยอดนิยมสำหรับครอบครัวคนกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และเหตุการณ์นี้ก็น่าจะทำให้คาดเดาได้ว่าผู้เป็นแม่คงมีความกังวล ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความตื่นตระหนกอยู่กับตัวจนกลายเป็นบุคลิกที่พร้อมจะแสดงออกให้ได้รับรู้อยู่เสมอ เพราะขนาดผมเองที่กำลังขี่รถจักรยานผ่านกับลูกสาวเพียงไม่กี่นาทียังเป็นพยานรู้เห็นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลูกสาววัยเจ็ดขวบของผมยังเผลอแสดงสีหน้าวิตกกังวลร่วมด้วยอยู่พักใหญ่ ลูกชายสองคนของคุณแม่ซึ่งอยู่กับคุณแม่ที่วิตกจริตเช่นนี้ เห็นท่าจะน่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย
แม้ว่าครอบครัวนี้จะไม่ได้มาปรึกษากับผมโดยตรง แต่ก็เริ่มเห็นเด่นชัดว่าอาการตื่นตระหนกเริ่มปรากฏที่บอม ลูกชายคนโตแล้วเพราะโดนมดกัดนิดเดียวแต่ร้องโวยวายราวกับโดนสุนัขตัวใหญ่ขย้ำ
ทำไมลูกจึงเป็นเช่นนี้?
ประการแรกลูกเลียนแบบปฏิกิริยาจากสิ่งที่เห็น เขาไม่ได้ตั้งใจเลียนแบบแต่เป็นการทำงานของสมอง เลียนแบบปฏิกิริยาตื่นตระหนกของคุณแม่
แม่ทนุถนอมลูกเกินไป ด้วยเพราะแม่กังวลกับสิ่งรอบตัว ลูกจึงไม่เรียนรู้ที่จะอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แม่ไม่อนุญาตให้ลูกได้จัดการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ไม่แม่ก็พ่อหรือพี่เลี้ยงจะคอยช่วยเหลือ เข้าทำนองเพลงของพี่เบิร์ดเขา “.....จะไปในทันใดจะตรงไปจะใกล้ไกล ถ้าหากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ....”
แม่ได้ส่งสารบางอย่างว่า โลกนี้ไม่น่าปลอดภัย โลกนี้น่ากลัว โลกนี้น่าระแวงสงสัย ผมไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณแม่ท่านนี้โดยตรง ได้แต่คาดเดาจากโหงวเฮ้ง และประสบการณ์ที่เคยพบคุณแม่ลักษณะนี้มาบ้าง คาดว่าที่บ้านคุณแม่คงสั่งสอนและห้ามปรามลูกอยู่เสมอ
แม่กับลูกมีแถบเส้นของความผูกพันที่ถ่ายทอดไปมาซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าอยู่ ลูกจึงซึมซับความรู้สึกที่แม่มีได้ง่าย ดังนั้นหากแม่กังวลลูกก็จะรู้สึกได้โดยง่าย
แม่ควรช่วยลูกอย่างไรดีหากลูกเข้าข่ายขี้กลัว ขี้กังวล ขี้ตระหนก ประการแรกควรพิจารณาที่ตัวคุณแม่ก่อนว่าตัวเรามีลักษณะที่ขี้กังวลหรือไม่ ท่าทีของเราเป็นไปในลักษณะที่ตื่นตระหนก หรือสติแตกโดยง่ายหรือไม่ หากใช่ก็ควรมองหาสาเหตุและรีบแก้ไข
ถัดมาคงต้องรีบปรับการเลี้ยงดูให้ลูกได้มีโอกาสเผชิญโลกมากขึ้นโดยที่ไม่มีความกังวลของแม่มาเป็นข้อจำกัดของการเล่นและเรียนรู้
อนุญาตให้ลูกได้เล่นอย่างหลากหลาย อย่างสม่ำเสมอ เพราะโลกของการเล่น ช่วยให้ลูกได้ยืดหยุ่น เป็นตัวของตัวเอง ได้หัดแก้ไขปัญหา…