Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

เด็ก 3 ขวบขึ้นไป

5 วิธีจัดการเมื่อลูกกินแต่ขนม

คุณแม่มักมีความสุขที่เห็นลูกกินได้ แต่ดีใจได้ไม่เท่าไหร่ก็มานั่งกลุ้มเพราะของที่ลูกกินมีแต่ขนมกรุบกรอบ ลูกอม ช็อกโกแลต เยลลี่ คุกกี้ ขนมเค้ก ไอศกรีม ฯลฯ ที่มีแต่แป้ง ไขมัน น้ำตาล เกลือที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคสารพัด แล้วจะทำอย่างไรดีลูกกินแต่ขนม เรามี 5 วิธีแก้ไขมาฝากค่ะ 1.จัดสรรเวลา ควรจัดสรรเวลาอาหารของลูก ไม่ควรให้ลูกกินขนมก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ลูกอิ่มจนไม่อยากกินข้าว 2.จัดปริมาณ ไม่ปล่อยให้ลูกกินขนมไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะอย่างละนิดอย่างละหน่อยก็ตาม ตกลงกับลูกว่าสามารถกินขนมในปริมาณมากน้อยแค่ไหน 3.จัดผลไม้แทนขนม ไม่ควรมีขนมเก็บไว้ในบ้านมากเกินไป เตรียมของว่างที่มีประโยชน์หรือผลไม้ไว้แทนขนมจะดีต่อสุขภาพของลูกมากกว่า 4.จัดให้นาน ๆ ครั้ง สำหรับเด็กที่เคยติดใจในรสชาติขนมไปแล้ว การห้ามกินขนมค่อนข้างทำร้ายจิตใจเด็ก ให้ลูกกินได้ในปริมาณที่เหมาะสม หรือกินบ้างนาน ๆ ครั้ง 5.จัดพฤติกรรมของพ่อแม่ คุณพ่อคุณแม่ควรทำตัวเป็นต้นแบบที่ดีในเรื่องการกิน ทั้งไม่กิน และไม่ซื้อแต่ขนม แต่เลือกกินของที่มีประโยชน์ พยายามสร้างความคุ้นเคยในการกินอาหารที่มีประโยชน์ตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อสุขภาพของลูกค่ะ

Read more

สร้างคุณค่า ให้แก่ลูกน้อย ง่ายๆแค่ ลด และ เพิ่ม

ในยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าเด็กกับสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นของคู่กันอย่างหลักเลี่ยงได้ยาก พ่อแม่หลายบ้านที่อดใจไม่ไหวหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือให้ลูกเพื่อแลกกับความสุขสงบ แลกกับการที่ลูกยอมทานอาหาร หรือแลกกับการทาภารกิจอื่นๆในชีวิตประจาวัน การปล่อยเด็กไว้กับจอทีวีหรือจอมือถือนั้นจะส่งผลเสียทั้งในด้านพัฒนาการของสมองและร่างกาย เหล่ากุมารแพทย์จึงต่างพากันออกมาเตือนถึงภัยของการใช้สมาร์ทโฟนที่มากเกินไปสาหรับวัยเด็ก โดยสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาประกาศไว้ว่า เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทุกชนิด เพราะเด็กจะขาดโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม  สร้างคุณค่า ในตัวเอง หรือ Self Esteem มีความสำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิต โดยเราสามารถเสริมสร้างให้ลูกของเราสามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเองได้ตั้งแต่เล็กๆเลยค่ะ เมื่อเขาเติบโตจะได้เป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพ มีความคิดที่ดี มองโลกในแง่บวก และสามารถดำเนินชีวิตผ่านไปได้ในแต่วันด้วยดีค่ะ สร้างคุณค่า แค่ “ลด & เพิ่ม” เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูก เราสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ลูกน้อยได้ง่ายๆเลยค่ะ แค่… “ลดการช่วยเหลือ” โดยเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆที่ใกล้ตัวเราและลูกได้เลยค่ะ เช่น ปล่อยให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าเอง โดยที่ไม่ต้องมีคนช่วย แบบนี้พอลูกทำสำเร็จเราก็ชมเขาค่ะ ว่าเก่งมากเลยใส่เสื้อผ้าเองได้แล้ว จะช่วยให้ลูกมองตัวเองค่ะว่าเขาก็สามารถทำอะไรได้ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน การให้ลูกแสดงความคิดเห็น การที่คุณพ่อคุณแม่ถามความคิดเห็นของลูกเป็นสิ่งที่ดีมากเลยค่ะ เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เขาสามารถเสนอความคิดเห็น อีกเป็นความคิดเห็นที่ต่างจากมุมมองของผู้ใหญ่แล้วยิ่งดี จะช่วยให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาได้เอง ตัดสินใจอะไรต่างๆได้เอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลยค่ะ ข้อดีของการสร้างคุณค่าให้แก่ลูก ทำให้ลูกๆสามารถแก้ไขอุปสรรคได้ดี ในยามที่มีปัญหา มีทัศนคติที่ดี มีความนับถือและเคารพตนเอง ทำให้ชีวิตมีความสุข มีความกล้าแสดงออกต่อหน้าผู้คน เป็นมิตรกับผู้คนรอบข้าง และเป็นที่รักของผู้คน รักในศักดิ์ศรีของตนเอง มีความเสียสละเพื่อส่วนร่วม มีจิตใจดี สรุป การสร้างคุณค่าให้แก่ลูกแต่เด็กๆ เราว่าเป็นสิ่งที่หลายบ้านละเลยอย่างมากเลยค่ะ จริงๆแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ เพราะ ถ้าหากลูกของเราเติบโตไปจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายด้วยตนเอง หากภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้ต่ำแล้วละก็ กลัวลูกๆจะไม่มีความมั่นใจในตนเองและปัญหาสุขภาพจิตตามมาจนพ่อแม่เป็นห่วงน่ะสิคะ เนื่องจากเราไม่สามารถเลี้ยงดูเขาไปได้ตลอดหรอกค่ะ เหมือนถึงเวลาจริงๆก็ต้องปล่อย เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อแม่ต้องดูแลและใส่ใจลูกๆของตนเอง แล้วเด็กที่มีอายุมากกว่า…

Read more

แก้ปัญหาพี่น้องแย่งของเล่นยังไงดี ?

Q : ลูกชอบแย่งของเล่นชิ้นเดียวกัน พอพี่หยิบของเล่นชิ้นไหนน้องก็จะแย่งชิ้นเดียวกัน มีวิธีแก้ปัญหายังไงไม่ให้ลูกทะเลาะกัน ? A : ความจริงแล้วมนุษย์เรามีความเคยชินอย่างหนึ่งนั่นก็คือการเปรียบเทียบฉันมีอันนี้เธอมีอันนี้ ของเธอใหญ่กว่า ของเธอสวยกว่า กรณีที่มีของเล่นชิ้นหนึ่งพี่หรือน้องได้ไป ก็เกิดการเปรียบเทียบชัดเจนเลยว่าทำไมเขามีชิ้นนี้แต่เราไม่มี ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ให้คำแนะนำ หรือใช้วิธีการแก้ปัญหาผิดจุด เช่น ลูกแย่งลูกบอลกันคุณพ่อคุณแม่บอกว่าให้น้องไปก่อน เดี๋ยวซื้ออันใหม่ให้พี่ นี่คือการแก้ปัญหาที่ผิดจุด เราห้ามเด็กไม่ให้เปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่วิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นั้นเรากำหนดได้ ต้องดูตามสถานการณ์ว่าของชิ้นนั้นเล่นร่วมกันได้หรือไม่ ถ้าของชิ้นนั้นเล่นร่วมกันได้อย่างเช่น ฟุตบอล ไม่น่าแก้ไขด้วยกันให้ใครคนใดคนหนึ่งก่อน อาจพูดคุยกับลูกว่าการเล่นคนเดียวแค่เดาะบอล แต่เล่นด้วยกันมีการรับส่งจะสนุกกว่าไหม แบบนี้พี่น้องก็จะไม่ทะเลาะกัน ถ้าเป็นของเล่นที่จะต้องเล่นคนเดียว เช่น รถแทรกเตอร์ น้องเล่นอยู่พี่มาแย่ง คุณแม่ลองชวนลูกสร้างเรื่องราวจินตนาการเช่น ชวนให้พี่เล่นเป็นเจ้าของบริษัท จ้างรถแทรกเตอร์ให้ไปขุดดิน ลูกก็จะเล่นด้วยกันได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนอารมณ์ลูก หรือเบี่ยงเบนความสนใจ และคิดหากิจกรรมเพื่อให้ลูกเล่นด้วยกันโดยไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์ ครูเคท - ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย พิธีกร : แม่แอร์ Thelovelyair.com Facebook :…

Read more

อยากให้ลูกรักการอ่านง่ายมาก ๆ

Q : อยากให้ลูกเป็นคนรักการอ่านชอบอ่านหนังสือต้องทำอย่างไร ? A : ง่ายมากจะตอบแบบกำปั้นทุบดินดีก็ได้ค่ะว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องทำอะไรอ่านหนังสือให้ลูกเห็น น้อง ๆ จะเห็นคุณพ่อคุณแม่นอนอ่านหนังสือเป็นภาพชินตา ตอนเด็ก ๆ บ้านครูเคทเต็มไปด้วยหนังสือ บางทีเห็นคุณแม่นอนอ่านหนังสือหนังสือหลับอยู่ ก็เกิดการลอกเลียนแบบท่านี้ตั้งแต่เล็ก ๆ เวลาเราเห็นพ่อแม่นอนอ่านหนังสือก็จะเข้าไปอยู่ข้าง ๆ นั่งถือหนังสือกลับหัว ตอนนั้นเล็กมากอ่านหนังสือยังไม่ออกเลย แต่ฉันขอทำท่าเหมือนพ่อเหมือนแม่ เราเห็นว่าการอ่านหนังสือเป็นเรื่องปกติ ที่บ้านไม่เคยสอนให้ลูกอ่านหนังสือเลยค่ะ น้อง 2 คนมีความชอบในการอ่านหนังสือต่างกัน คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้กำหนดกรอบว่าต้องอ่านหนังสือแบบไหน หนังสือนี้อ่านไม่ได้หนังสือนั้นไร้สาระห้ามอ่านแบบนี้ไม่มี ครูเคทเป็นคนอ่านหนังสือการ์ตูนมังงะก็ได้อ่าน ขอให้ลูกอยากอ่านคุณพ่อคุณแม่ซื้อให้ทั้งเซต ในขณะที่น้องคนกลางเป็นหมอชอบอ่านเรื่องวิทยาศาสตร์อยากจะซื้ออะไรพ่อแม่ก็ซื้อให้ น้องคนเล็กเป็นกูรูทางด้านการเงินชอบอ่านมังกรหยก อ่านหนังสือจีนซุนวู ลูกสาวบ้านนี้อ่านหนังสือคนละประเภท แต่พ่อแม่ซื้อให้หมด ไม่มีการห้ามแถมยังซื้อให้ไม่บ่น เพราะฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อ่านหนังสือก็อย่าไปบังคับให้ลูกอ่าน เพราะเขาเห็นตัวอย่างจากเรานั่นเอง และที่บ้านควรจะมีหนังสือเอาไว้ด้วย ถ้าไม่มีหนังสือในบ้านความรักการอ่านก็จะไม่เกิดเพราะไม่มีหนังสือให้เขาอ่าน เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์ ครูเคท - ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย พิธีกร : แม่แอร์ Thelovelyair.com Facebook :…

Read more

อยากให้ลูกเป็นเด็กไม่ขี้อาย

Q : เวลาพาลูกไปที่ทำงานแม่อยากให้ลูกเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจะทำอย่างไร ? A : เด็กจะมีความเขินอายเมื่อเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจ พอไปที่ทำงานคุณแม่พี่ ๆ น้า ๆ ก็มะรุมมะตุ้มเด็ก เด็กอาจจะไม่ชินกับการเจอคนเยอะ ๆ บวกกับคุณพ่อคุณแม่ชอบโชว์ลูกอีก ไหนลูกทำอย่างนี้โชว์คุณน้าซิ ทุกสายตาพุ่งมาที่ลูก เด็กเกิดความอึดอัดได้เพราะเขาเคยชิน ในทางกลับกันหากคุณแม่พาลูกไปที่ทำงานโดยไม่ต้องไปยุ่งกับเขามาก เดี๋ยวเขาจะปรับตัวเอง ไม่ต้องไปบังคับว่าไหนร้องเพลงโชว์คุณน้าซิ หาสมุดระบายสีให้เขา เดี๋ยวพี่ ๆ น้า ๆ ก็แวะเวียนมาทักทายด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้เอง หรือคุณแม่อาจจะให้ลูกช่วยส่งเอกสารไปให้เพื่อนร่วมงาน ก็จะการค่อย ๆ ฝึกให้ลูกค่อย ๆ ก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนโดยไม่ต้องฝืนหรือสั่งสอน ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติลูกก็จะกล้าขึ้นเมื่ออยู่กับคนอื่น เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์ ครูเคท - ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย พิธีกร : แม่แอร์ Thelovelyair.com Facebook : Mother&Care : Raising Happy…

Read more

แก้นิสัยลูกขี้โมโหยังไงดี ?

Q : ลูกเป็นเด็กมีนิสัยขี้โมโหอารมณ์ร้อนจะแก้อย่างไรดีคะ ? A : สาเหตุของการเป็นคนโมโหร้ายส่วนหนึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูอีกส่วนหนึ่งมาจากกรรมพันธุ์ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนขี้หงุดหงิดหรือมีอารมณ์รุนแรง มีโอกาสที่ลูกจะอารมณ์รุนแรงได้แต่ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ประกอบกับการอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีอารมณ์รุนแรงก็เป็นการร่วมด้วยช่วยกันเพิ่มนิสัยขี้โมโหของเด็ก บางครั้งเกิดจากการที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงไม่เป็น ชอบขัดใจ เมื่อลูกเกิดความรู้สึกในใจที่อธิบายไม่ถูกปรับใจไม่ได้สิ่งที่เด็กทำได้ก็คือการระเบิดออก ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกหงุดหงิดแล้วรู้ตัวให้สูดหายใจเฮือกหนึ่งก่อน จะรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้รับออกซิเจนเข้าไปในสมองมากขึ้น พยายามอย่าสั่งลูกว่าต้องทำเดี๋ยวนี้ คุณแม่อาจจะบอกว่าพยายามแล้วค่ะ ครั้งที่ 1 บอกแล้ว ครั้งที่ 2 ก็เฉยอีก บางทีพูดไป 5 ครั้งแล้วก็ยังเฉยอยู่ ต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีแทรกซึม ลองเข้าไปเล่นกับลูก ตอนนั้นลูกกำลังอินอยู่กับอะไรบางอย่าง เช่น เล่นเกม ติดอยู่หน้าจอ คุณพ่อคุณแม่ไปนั่งดูแล้วนั่งเล่นกับเขา แทนที่จะปล่อยให้เขาหลุดเข้าไปในโลกของเกมเพียงอย่างเดียว ค่อย ๆ ให้ลูกเริ่มรู้ว่ามีโลกของคนจริง ๆ คือพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนบรรยากาศแล้วดึงลูกออกมา เบี่ยงเบนความสนใจ อย่าไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า การอยู่กับลูกเล่นกับเขาใช้เวลาอยู่กับเขาช่วยปรับอารมณ์ลดความหงุดหงิดให้ลูกได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือ คุณพ่อคุณแม่ไม่มีเวลาให้กับลูก แต่ไม่เป็นไร เวลาอันน้อยนิดขอให้มีคุณภาพ การใช้เวลาคุณภาพในครอบครัวคือการตั้งใจฟังลูกให้มากขึ้นอีกนิด และลดอัตตาของความเป็นพ่อเป็นแม่ลง เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์…

Read more

ทำอย่างไรไม่ให้ลูกอิจฉากัน ?

Q : ทำอย่างไรจะให้พี่น้องรักกันไม่อิจฉากัน ? A : เด็ก ๆ อิจฉากันเพราะเกิดการเปรียบเทียบ บางครั้งเกิดจากคุณพ่อคุณแม่แก้ไขปัญหาไม่ถูกวิธี เช่น เวลาพี่มีของเล่นใหม่น้องไม่มีก็เกิดความอิจฉา คุณแม่ก็ไปซื้อของเล่นใหม่ให้น้อง คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ให้เขาเห็นว่าการเล่นของเล่นร่วมกันสนุกกว่าเล่นคนเดียว สมมุติว่าพี่มีของเล่นแต่น้องไม่มี ให้เขาเห็นว่าถึงแม้พี่จะมีของเล่นแต่ก็เล่นกับน้องได้ และที่สำคัญของเล่นนั้นเป็นของพี่ แสดงว่าพี่ต้องมีความรับผิดชอบต่อของนั้นมีหน้าที่คอยจัดเก็บ มีหน้าที่ทำความสะอาดของเล่น น้องเองก็จะได้รู้ว่าถ้าเป็นเรื่องความรับผิดชอบเป็นของพี่ อย่าแก้ปัญหาด้วยการซื้อของเล่นเพิ่มให้อีกคนนึง เพราะจะเป็นการสร้างความรู้สึกให้กับเด็กติดไปจนโต เวลาเห็นใครมีตัวเองก็ต้องมี ถ้าไม่สามารถหามาได้ก็จะเกิดความทุกข์ใจ เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์ ครูเคท - ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย พิธีกร : แม่แอร์ Thelovelyair.com Facebook : Mother&Care : Raising Happy Children with "Kru Kate" Live

Read more

ทำไมลูกฟังครูมากกว่าพ่อแม่ ?

Q : เวลาอยู่บ้านลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ แต่ทำไมพอไปอยู่โรงเรียนกลับเชื่อฟังคุณครู ? A : เพราะเด็กเชื่อฟังคนที่มีอำนาจเหนือกว่า พ่อแม่อาจเข้าใจว่าการมีอำนาจเหนือลูกคือการดุเขา ซึ่งไม่ใช่ คนที่มีอำนาจเหนือกว่าก็คือคนที่สามารถเข้าไปนั่งกลางใจเด็ก คุณพ่อคุณแม่ฟังแล้วอาจน้อยใจ โดยปกติแล้วคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะใจร้อน อยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวนั้น อยู่ที่โรงเรียนคุณครูจะค่อย ๆ พูดค่อย ๆ กล่อม เด็กจะมีความรู้สึกว่าคุณครูไม่ดุ ถึงแม้คุณครูจะดุแต่ว่าสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เด็กเห็นว่าเพื่อน ๆ ทำตัวอย่างไรก็จะทำเหมือน ๆ เพื่อน สามารถเข้าใจและรับทราบกฎระเบียบไปโดยปริยาย แต่ที่บ้านบางวันคุณพ่อคุณแม่เป็นนางฟ้าหรือเทวดาของลูก บางวันแปลงร่างเป็นปีศาจ ความไม่สม่ำเสมอของพ่อแม่ทำให้เด็กสับสนในบทบาทของพ่อแม่ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ลูกทดลองดูว่าสามารถมีอำนาจเหนือพ่อแม่ได้ไหม ถ้าบังเอิญทดลองแล้วเวิร์ค เช่น ลงไปดิ้นร้องไห้แล้วได้ผลพ่อแม่มะรุมมะตุ้มเอาใจฉัน นั่นเพราะว่าเด็กอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจไม่ได้ว่าตอนนี้ยังไม่อยากกินข้าว ยังไม่อยากทำสิ่งที่พ่อแม่สั่งแต่อธิบายออกไปไม่เป็น พ่อแม่ต้องสอนลูกเรื่องการสื่อสาร ที่โรงเรียนคุณครูจะค่อย ๆ พูดจึงช่วยปรับอารมณ์เด็กได้ดีกว่าพ่อแม่ที่ใช้การออกคำสั่งเป็นส่วนใหญ่ เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์ ครูเคท - ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย พิธีกร : แม่แอร์ Thelovelyair.com Facebook :…

Read more

ทำยังไงดีน้องไม่กินผักเลียนแบบพี่ ?

Q : น้องชอบเลียนแบบพี่แต่ว่าเลียนแบบในทางที่ไม่ดี ปกติน้องกินผักอยู่ พอเห็นพี่สาวไม่กินผักเลยน้องเลียนแบบบ้างจะแก้ยังไงดี ? A : การเลียนแบบเป็นพฤติกรรมปกติของเด็ก ก็ต้องกลับมาถามก่อนว่าทำไมพี่คนโตไม่กินผัก คุณพ่อคุณแม่จะให้ลูกกินผักได้อย่างไร กิจกรรมที่เหมาะสมคือควรจะทำให้การกินผักเป็นเรื่องสนุกสนาน ชวนลูกคุย ชวนทำกับข้าวให้เด็ก ๆ คอยช่วยทำในส่วนที่เขาสามารถทำได้ ล้างผัก เด็ดผัก เตรียมจาน พอเด็กมีโอกาสได้ลงมือทำอะไรด้วยมือของเขาเองแล้ว ก็จะค่อย ๆ คุ้นเคย ทำอาหารเสร็จก็อยากจะชิม เพราะเป็นความภาคภูมิใจของเขา ถึงแม้จะไม่ชอบรสชาติก็ตามแต่เกิดความภาคภูมิใจ คุณพ่อคุณแม่ค่อย ๆ ฝึกให้พี่น้องทำอะไรร่วมกัน ไหนลองชิมอาหารนี้ซิ ให้เขาคุยเล่นกันก็จะเกิดการเรียนรู้ไปเองตามธรรมชาติ เรียบเรียงจาก : สัมภาษณ์ ครูเคท - ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย พิธีกร : แม่แอร์ Thelovelyair.com Facebook : Mother&Care : Raising Happy Children with "Kru Kate" Live

Read more

นั่งดูการ์ตูนเป็นชั่วโมงใช่มีสมาธิหรือไม่ ?

Q : ผู้ใหญ่หลายคนเข้าใจว่าการที่เด็กนั่งดูการ์ตูนได้เป็นชั่วโมงแสดงว่ามีสมาธิ ความจริงแล้วเป็นอย่างไร ? A : แสดงว่าผู้ใหญ่เองก็ไม่เข้าใจว่าสมาธิคืออะไร สมาธิเป็นการรู้สองอย่างคือรู้ตัวกับรู้สภาพแวดล้อม เราต้องฝึกเด็กให้รู้ตัวและรู้บุคคลรอบ ๆ ข้าง ขณะที่เด็กดูการ์ตูนจ้องอยู่หน้าจอแล้วไม่รู้ตัว เขาจะถูกสะกดจิตหลุดเข้าไปในโลกเสมือนจริงของชีวิต อย่างนี้ไม่จัดว่าเป็นสมาธิที่สมบูรณ์แบบ สมาธิสมบูรณ์แบบคือดูทีวีและย้อนกลับมาดูตัวได้ สมมุติว่าผู้ใหญ่ดูข่าวนี้แล้วย้อนกลับมาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในข่าว เด็กเล็กดูการ์ตูนอย่างเดียวกลับมาคิดไม่ได้ หรือนั่งดูแล้วเมื่อยขาแต่ไม่รู้สึก อย่างนี้ไม่ใช่การมีสมาธิที่ดี สมัยนี้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจมากขึ้นว่าไม่ควรให้เด็กอายุต่ำว่า 2 ขวบอยู่หน้าจอ โตขึ้นมา 2 ขวบดูได้แต่อยู่ในดุลพินิจของพ่อแม่ และเลือกช่องที่เหมาะสมกับเด็ก การ์ตูนไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตซักเท่าไหร่ ครูเคทไปร่วมประชุมของกระทรวงวัฒนธรรม ประชุมเรื่องสื่อสำหรับเยาวชนคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่าเด็กไม่ควรดูทีวีเลยจนกว่า 7 ขวบ โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตไม่ควรให้เล่นเลย เด็กควรได้พัฒนาทักษะหลาย ๆ ด้าน ต้องพัฒนากล้ามเนื้อ ภาษา การปฏิสัมพันธ์กับคน การออกไปดูโลกกว้าง สัมผัสหลากหลายดีกว่านั่งอยู่หน้าจอ เด็กเล็กจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด เริ่มพบแล้วว่า เด็ก Gen Z ที่อยู่หน้าจอมาก ๆ เริ่มมีปัญหาซึมเศร้า แค่อายุ 12 เป็นแล้ว…

Read more