กิจกรรมครอบครัว เสาร์-อาทิตย์ไม่รู้จะชวนลูกมาทำกิจกรรมอะไรแล้ว เพราะลูกเบื่อกิจกรรมเดิม ๆ ไปเสียหมด แต่ไม่อยากให้เขาอยู่นิ่งเดียวดาย เพราะอยากชวนลูกมาเล่นในวันหยุดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ครอบครัวอบอุ่นกันมากขึ้น แถมยังได้กระตุ้นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของลูกอีก ว่าแต่จะมีกิจกรรมอะไรใหม่ ๆ มาให้คุณ
Family lifestyle
อัพเดท เทรนด์ กิจกรรม สำหรับครอบครัวรุ่นใหม่ มีทั้ง สาระ และ ความสนุกในการใช้ชีวิต ฉบับคนครอบครัว
ดนตรีเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก
ทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์ สำหรับเด็กที่เล็กเกินกว่าจะหัดเล่นเครื่องดนตรี
คุณพ่อคุณแม่สามารถปลูกฝังให้เขารักในเสียงดนตรีได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการชวนฟังเพลง
ร้องเพลง และเต้นตามท่วงทำนองบ่อยๆ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม
เขาก็จะเกิดความอยากฝึกเล่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ไม่ว่าจะอยากให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นเป็นนักดนตรีในอนาคต
หรือเล่นเป็นงานอดิเรกเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ ดนตรีก็เป็นสิ่งที่ดีต่อเด็กๆ แน่นอน
ลองมาทำความรู้จัก 10 เครื่องดนตรีที่เหมาะให้เด็กฝึกเล่นกันดีกว่า 1. เปียโน เปียโนช่วยให้เด็กๆ เข้าใจทฤษฎีดนตรีได้ง่ายกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น อีกทั้งยังฝึกง่ายเพราะแค่ใช้นิ้วกดลงไปที่ปุ่มเดียวก็มีเสียงออกมาแล้ว การเริ่มฝึกจากเปียโนจึงทำให้เด็กมีพื้นฐานทางดนตรีที่ดีและสามารถต่อยอดไปสู่การฝึกเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ ได้ 2. กีตาร์ เด็กๆ หลายคนมักอยากฝึกเล่นกีตาร์เพราะเห็นต้นแบบจากนักดนตรีที่ชื่นชอบหรือคนใกล้ตัว เขาจึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเก่งเหมือนไอดอลในดวงใจ ซึ่งการฝึกกีตาร์ก็มีลักษณะคล้ายเปียโนตรงที่ช่วยสอนพื้นฐานด้านดนตรีเช่นกัน 3. เบส เบสเป็นเครื่องดนตรีที่มักถูกมองข้าม แต่จริงๆ แล้วเวลาเล่นเป็นวง เสียงเบสมีความสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยคุมจังหวะและเป็นตัวประสานให้เพลงแน่นขึ้น ส่วนในแง่ของการฝึกฝน ด้วยความที่เบสมี 4 สาย เด็กๆ จึงทำความเข้าใจเรื่องคอร์ดได้ไม่ยาก แต่ก็ต้องออกแรงนิ้วในการกดพอสมควร จึงอาจต้องเริ่มฝึกจากเครื่องสายประเภทอื่นก่อนแล้วค่อยขยับมาเป็นเบส 4. อูคูเลเล่ อูคูเลเล่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เด็กๆ เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบา สายนิ่ม และมีคอร์ดพื้นฐานที่ง่ายต่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องดนตรีที่เสียงไม่ค่อยดังมาก จึงสามารถฝึกบ่อยๆ ได้เกือบทุกที่เพราะไม่ส่งเสียงรบกวนคนรอบข้าง 5. กลอง กลองเป็นเครื่องดนตรีที่สนุกมาก และเมื่อโตขึ้นลูกของคุณจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการแสดงออกทางความรู้สึก การฝึกกลองช่วงแรกๆ จะเน้นเรื่องการจับจังหวะเป็นหลัก เด็กจึงชอบที่ไม่ต้องทำความเข้าใจทฤษฎีดนตรีอันซับซ้อน และทุกวันนี้ก็มีหูฟังสำหรับกลองชุดแล้ว…
ปัญหาฝุ่นละออง P.M 2.5 เมื่อต้นปี อาจทําให้หลายครอบครัวชะลอการจัดทริปไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ และพอมาถึงหน้าฝน หลายคนก็มองว่าเฉอะแฉะ เที่ยวไม่น่าจะสนุก ทั้งที่จริงแล้วหน้าฝนเป็นช่วงที่อากาศ บริสุทธิ์สดชื่น ต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้าเบ่งบานเขียวขจี ภูเขาสวย น้ําตกงาม ทะเลหมอกหลังฝนตกก็สวยงามแตกต่างจากทะเลหมอกในหน้าหนาว ที่สําคัญเที่ยวช่วงนี้ ผู้คนก็ไม่เยอะ ค่าที่พัก ค่าเดินทางก็มีโปรโมชั่นลดมาก เป็นพิเศษ ถูกใจคุณแม่ เที่ยวกันสบายๆ เรียกว่าได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติอย่างคุ้มที่สุด ก็...อยากเที่ยวนะ...แต่กลัวฝน...เดี๋ยวลูกไม่สบาย หน้าฝนเช่นนี้ เหตุผลอันดับหนึ่งที่ทําให้หลายครอบครัวยอมอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าพาลูกออกไปไหน คือ “กลัวลูกไม่สบาย” ยิ่งอาการหวัด คัดจมูก น้ํามูกไหล หายใจไม่ออก เป็นอาการที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่ายากต่อการรับมือ พาลทําให้เที่ยวไม่สนุก แต่การที่ได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติ อากาศสดชื่นแบบนี้ไม่ได้มีตลอดทั้งปี หลายครอบครัวอดใจไม่ไหวต้องจัดทริปพาลูกเดินทางไปรับอากาศบริสุทธิ์ แต่หลายครอบครัวก็มีความกังวลใจเต็มไปหมด แต่หากเตรียมตัวดีๆ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะการพาลูกน้อยท่องเที่ยวนั้นได้ประโยชน์กว่าที่คิด ทั้งช่วยเพิ่มประสบการณ์ชีวิตและสานสัมพันธ์รักระหว่างครอบครัว เพียงแค่วางแผนวันเดินทางเช็คสภาพอากาศให้ดี หลีกเลี่ยงช่วงวันมรสุมพายุเข้า เตรียมอุปกรณ์เสื้อกันฝน ร่ม รองเท้าบูทให้ครบ จัดเสื้อผ้าเผื่อไปเพิ่มเพราะด้วยสภาพอากาศที่ชื้น การทําตัวให้แห้งไว้เสมอช่วยลดโอกาสที่จะไม่สบายได้ ยาทากันยุง ยาแก้ปวดแก้ไข้ก็จําเป็น แม้อากาศในช่วงหน้าฝนจะก่อให้เกิดอาการ คัดจมูก น้ํามูกไหลได้ง่าย ปัจจุบันมีตัวช่วยมากมาย…
ไม่มีเด็กคนไหนไม่ชอบเล่น
นอกจากการเล่นจะทำให้เด็กๆ สนุกสนานและสุขภาพจิตดีแล้ว
ยังเป็นวิธีเรียนรู้และฝึกฝนทักษะต่างๆ ที่ดีที่สุดอีกด้วย
ในกระบวนการเติบโตและพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ เด็กๆ
ต้องการเวลาและความเอาใจใส่จากคนใกล้ตัวที่พร้อมจะเล่นสนุกไปกับเขา
โดยเฉพาะลูกคนแรกหรือลูกคนเดียวที่ไม่มีพี่น้องคอยเล่นด้วยยิ่งขี้เหงามากเป็นพิเศษ
ในบางกรณีที่คุณพ่อคุณแม่ยุ่งกับงานจนไม่มีเวลา
อาจให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมกับการช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ช่วยทำงานบ้านก็ได้
เพราะเด็กสามารถเรียนรู้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว
และมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องสนุกได้เสมอ เคล็ดลับการเล่นกับลูกให้สนุกและส่งเสริมพัฒนาการ รวบรวมกิจกรรมหลายๆ อย่างที่เหมาะสมกับวัยมาให้เขาเป็นคนตัดสินใจเลือก โดยกิจกรรมเหล่านั้นควรมีความสนุก ดึงดูดใจ และช่วยส่งเสริมพัฒนาการ ควรให้เวลากับลูกมากๆ และชักชวนเขาเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของผู้ใหญ่บ้าง เช่น ช่วยกันตรวจสอบลิสต์รายการของที่ต้องซื้อ กิจกรรมนี้จะทำให้เขาได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่เป็นจำนวนมาก การเล่นสามารถเป็นการออกกำลังกายไปได้ในตัว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กวัยกำลังโต อย่าลืมพาเขาออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งให้ได้วิ่งเล่นตามประสาเด็กบ้าง การเล่นที่ดีควรเป็นแบบไหน
การเล่นต้องให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่จำเป็นต้องวางเป้าหมายเพื่อเอาชนะ เกิดขึ้นจากความสมัครใจไม่ได้ถูกบังคับ ส่งเสริมให้เด็กได้มีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ส่งเสริมการใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สิ่งสำคัญคือเด็กควรได้เล่นของเล่นที่เหมาะสมกับวัย ของเล่นบางหรูหราราคาแพง แต่มีกลไกซับซ้อนเกินไปสำหรับเด็กเล็ก เขาก็อาจรู้สึกว่าของเล่นชิ้นนั้นเล่นยากเกินไป หรือบางทีถ้าถูกคุณพ่อคุณแม่ควบคุมห้ามปรามบ่อยๆ เช่น “อย่าจับแรงนะลูก มันแพงเดี๋ยวพังง่าย” เด็กก็อาจรู้สึกหมดสนุกกับการเล่น ของเล่นที่ดีจึงไม่จำเป็นต้องแพง จะเป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นเองก็ได้ ขอเพียงแค่ปลอดภัยและส่งเสริมการเรียนรู้ เท่านี้ก็เพียงพอ
คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงเคยเห็นคลิปวิดีโอน่ารักๆ
เวลาเด็กเล็กอยู่กับสัตว์เลี้ยง และรู้สึกชอบใจอยากให้ลูกมีโมเมนต์แบบนั้นบ้าง นอกจากน่ารัก
สัตว์เลี้ยงยังมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของลูกน้อยในด้านต่างๆ ด้วย
เด็กที่คลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงเป็นประจำจะได้รับการปลูกฝังให้มีนิสัยอ่อนโยน มั่นใจ
ไม่โดดเดี่ยว และมีทักษะการเข้าสังคมที่ดี โดยเฉพาะน้องหมา
น้องแมวที่ฉลาดและเข้ากับมนุษย์ได้ดี นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า
เด็กที่โตมากับสัตว์เลี้ยงในบ้านจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภูมิแพ้และหอบหืดสูงกว่าเด็กทั่วไปด้วย
แต่ก่อนจะรับสัตว์มาเลี้ยง
คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจว่าจะรับมือกับภาระที่เพิ่มขึ้นได้
และใส่ใจเรื่องความปลอดภัยให้มากที่สุด 1. อย่าปล่อยให้เขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ไม่ว่าน้องหมาน้องแมวจะเชื่องแค่ไหน
แต่สัตว์ก็ยังมีสัญชาตญาตบางอย่างที่เจ้าของไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด
คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรปล่อยให้ลูกน้อยคลาดสายตา เพราะบางทีเด็กๆ
อาจเผลอเล่นกับเจ้าสี่ขาแรงเกินไปโดยไม่รู้ตัว จนเป็นเหตุให้ถูกโจมตีกลับได้ 2. อย่าให้ลูกกวนสัตว์เลี้ยงตอนหลับ
สัตว์ต้องการเวลาพักผ่อนและความเป็นส่วนตัวบ้างไม่ต่างจากมนุษย์
ถ้าเขากำลังหลับเราก็ไม่ควรปล่อยให้ลูกน้อยเข้าไปรบกวน
เพราะเขาอาจสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจและทำอันตรายกับเด็กๆ ได้ 3. อย่าให้ลูกขึ้นขี่หลังหรือนั่งทับสัตว์เลี้ยง
คุณพ่อคุณแม่บางคนชอบนำเด็กไปวางบนหลังสัตว์เลี้ยง
เพราะอยากถ่ายภาพที่ดูสนุกสนานและน่ารัก
แต่นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเด็กและเจ้าสี่ขาเพื่อนรัก
การรับน้ำหนักมากเกินไปอาจทำให้สัตว์เลี้ยงบาดเจ็บได้
เด็กควรได้รับการสอนตั้งแต่ยังเล็กว่าต้องปฏิบัติต่อสัตว์ด้วยความเมตตาและเคารพ 4. ใส่ใจสักนิดก่อนกอดสัตว์เลี้ยง
มนุษย์แสดงความรักด้วยการกอด
แต่สุนัขบางสายพันธุ์เขารู้สึกว่าการกอดคือการคุกคาม
และไม่ชอบการเข้าหาในลักษณะจู่โจม เราจึงควรสำรวจลักษณะนิสัยของเขาก่อน
ถ้าเขาดูเครียดและพยายามผละหนีทุกครั้งที่ถูกกอด
เจ้าของก็ควรแสดงความรักต่อเขาด้วยวิธีอื่น ควรสอนเด็กๆ
ให้รู้ว่าต้องพูดคุยและขออนุญาตก่อนสัมผัสตัวสัตว์เลี้ยงทุกครั้ง
เพื่อไม่ให้เจ้าสี่ขาตกใจจนเผลอแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว 5. สอนเด็กๆ
ให้รู้ว่าอย่าแย่งของจากปากสัตว์เลี้ยง
บางทีน้องหมาตัวใหญ่ไม่ได้ตั้งใจทำร้าย
แต่เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่ มีแรงเยอะและมีฟันแหลมคม
การกระชากของออกจากปากสัตว์เลี้ยง จึงอาจทำให้เกินอันตรายต่อเด็กๆ ได้ 6. อย่าปล่อยให้ลูกวัยแบเบาะนอนเตียงเดียวกับสัตว์ มีข่าวในต่างประเทศบ่อยๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้สุนัขขึ้นมานอนข้างๆ ลูกน้อยวัยแบเบาะ บางครั้งเด็กน้อยแผดเสียงร้องไห้เสียงดัง ทำให้สุนัขสะดุ้งตกใจและทำร้ายเด็กทารกจนถึงแก่ชีวิต สถานการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด ดังนั้น ควรแยกให้เจ้าสี่ขานอนแยกจากลูกน้อยดีที่สุด 7. สอนเด็กๆ ว่าอย่าวิ่ง สุนัขเป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณความเป็นนักล่า โดยเฉพาะบางสายพันธุ์ที่มีสายเลือดนักล่าอยู่เต็มเปี่ยม หากเขาเห็นเด็กๆ วิ่ง สัญญาตญาตจะกระตุ้นให้ออกล่า…
การเล่นกับเด็กเป็นของคู่กัน
ยิ่งเล่นพวกเขายิ่งได้ปลดปล่อยจินตนาการและพัฒนาทักษะต่างๆ
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา ความฉลาดทางอารมณ์
ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้เหตุผล ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไปจนถึงจุดเริ่มต้นของกระบวนการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว
คุณพ่อคุณแม่จึงควรส่งเสริมการเล่นของลูก ด้วยกิจกรรมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาศักยภาพ
ซึ่งเรามี 10 กิจกรรมน่าเล่นมาแนะนำดังต่อไปนี้
1. เล่นทราย การเล่นทรายเป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กได้ซึมซับพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ควบคู่ไปกับการเสริมความมั่นใจและพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ผ่านการตัก ขุด เท และร่อนทราย ยิ่งถ้าได้เล่นกับเพื่อนหลายๆ คน เขาก็จะยิ่งสนุก รวมถึงได้ฝึกเรื่องการทำงานเป็นทีม การแบ่งปัน และมีทักษะทางสังคมเพิ่มขึ้นด้วย 2. เล่นน้ำ ความเปียกชุ่มทำให้รู้สึกสดชื่นและคลายร้อน เด็กๆ หลายคนจึงชอบเล่นน้ำมากเป็นพิเศษ ซึ่งกิจกรรมนี้ก็ให้ประโยชน์คล้ายๆ กับการเล่นทราย คือเป็นพื้นที่ทดลองวิทยาศาสตร์เบื้องต้น ทำให้เด็กๆ เข้าใจกลไกทางธรรมชาติ อีกทั้งยังได้เคลื่อนไหวร่างกายและฝึกมือกับสายตาให้ทำงานประสานกัน 3. ปั้นดินน้ำมัน การปั้นดินน้ำมันเป็นกิจกรรมการละเล่นที่มีประโยชน์มาก อันดับแรกคือช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกบริหารกล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านการออกแรงขณะนวดหรือปั้น ซึ่งทำให้พวกเขาเขียนหนังสือได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการทำงานประสานกันระหว่างมือกับสายตา 4. แสดงบทบาทสมมติ ลองพูดคุยกับเด็กๆ ว่าเขาสนใจอาชีพอะไร และเปิดโอกาสให้เขาแต่งตัวตามอาชีพนั้นๆ โดยคุณพ่อคุณแม่ช่วยจัดหาอุปกรณ์ให้ กิจกรรมนี้จะทำให้เขาเข้าใจโลกของผู้ใหญ่และสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการค้นหาตัวเองและฝึกมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น 5. เล่นตุ๊กตา การเล่นตุ๊กตาเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการส่งเสริมจินตนาการ และฝึกให้เด็กน้อยแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งไม่ได้เหมาะกับแค่เฉพาะเด็กผู้หญิงเท่านั้น เด็กผู้ชายก็สามารถเล่นตุ๊กตาได้…
ความสุขของเด็กคือการได้ปลดปล่อยจินตนาการและเล่นสนุก
การเล่นช่วยเปิดโอกาสในการเรียนรู้ ทำให้เด็กมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย นอกจากนี้ กิจกรรมการเล่นหลายๆ
อย่างยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัวอีกด้วย เช่น การเล่นทรายที่แม้จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปบ้าง
แต่เด็กๆ ก็ได้ใช้ชีวิตกลางแจ้งและสนุกสนานไปกับจินตนาการไร้ขีดจำกัด
ทั้งยังได้บริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อย่างครบครัน หากบ้านไหนมีพื้นที่เหลือ
การทำบ่อทรายให้ลูกเล่นจึงเป็นไอเดียที่น่าสนใจมากทีเดียว แต่ก่อนที่จะปล่อยให้ลูกเล่นทรายอย่างอิสระ
คุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังส่วนผสมในทรายที่เป็นพิษอย่าง Microcrystalline Silica ด้วย
หากเป็นฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อยู่ในทราย ต้องอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดหลังเล่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการกำจัดเชื้อโรค
แต่ถ้าเป็นสารซิลิกาซึ่งมีอนุภาคขนาดเล็ก
มันอาจเข้าไปสะสมในปอดและก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ฉะนั้น
เพื่อความปลอดภัยเราจึงต้องเลือกทรายจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ
ซึ่งปัจจุบันก็มีร้านขายทรายนำเข้าจากต่างประเทศชนิดผ่านการอบฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงมาแล้ว
หรืออาจมองหาวัสดุทดแทนอื่นๆ เช่น เมล็ดธัญพืช เมล็ดข้าว หินกรวดขนาดเล็ก
เมล็ดข้าวโพดบด แป้งสาลีผสมน้ำมันให้มีลักษณะคล้ายทราย
สิ่งเหล่านี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สะอาดและปลอดภัย นอกจากนี้
ยังควรคำนึงถึงสถานที่ในการวางกระบะทรายให้เหมาะสมด้วย โดยควรเป็นที่ๆ
มีหลังคามิดชิดป้องกันการเปียกน้ำฝน เพราะความชื้นอาจก่อให้เกิดเชื้อราตามมาได้
และหลังเล่นเสร็จทุกครั้งควรหาผ้าใบมาคลุมกระบะไว้ เพื่อป้องกันสัตว์ต่างๆ
มาอุจจาระใส่ สิ่งสำคัญคืออย่าลืมสร้างวินัยให้กับลูก ด้วยการสอนให้เขารู้ว่า
หลังเล่นทรายเสร็จทุกครั้งต้องอาบน้ำให้สะอาดทันที แต่ในระหว่างที่เขาเล่น
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจับผิดหรือบ่นเรื่องความสกปรกเลอะเทอะมากจนเกินไป
เพราะนั่นคือช่วงเวลาแห่งอิสระที่เขากำลังใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งคือ
เด็กบางคนอาจหยิบทรายเข้าปาก โดยเฉพาะเด็กในช่วงอายุ 1-2 ขวบ ที่ชอบสำรวจสิ่งต่างๆ
รอบตัวด้วยการชิม คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรปล่อยให้ลูกเล่นตามลำพัง
เมื่อเห็นเขาทำท่าจะหยิบทรายเข้าปาก ควรสอนให้รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่อาหาร
และอย่างที่เราทราบกันดีว่า
ของเล่นสีสันสดใสสามารถดึงดูดใจและช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กได้
คุณพ่อคุณแม่จึงควรหาของเล่นอื่นๆ เช่น รถตัก พลั่วเล็กๆ ถังเล็กๆ เป็นต้น สำหรับให้ลูกเล่นกับทรายด้วย
ประสบการณ์การเล่นที่สนุก
จะทำให้เด็กๆ เพลิดเพลินและอยากเรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และโดยธรรมชาติของเด็ก เขามักชอบเล่นแบบเลอะเทอะซุกซน
เพื่อปลดปล่อยพลังในตัวที่มีอย่างเหลือล้น
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของพวกเขาได้
ด้วยการพาลูกออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งบ่อยๆ อย่าปล่อยให้เขาอยู่แต่ในห้องแอร์นานเกินไป
ดนตรีไม่ได้ทรงพลังเพียงแค่เป็นเพื่อนคลายเหงาเท่านั้น
แต่ดนตรีมอบพลัง มอบชีวิต ปลุกจิตวิญญาณให้แก่คนทุกเพศทุกวัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กออทิสติกนั้น พวกเขาอาจจะมีทักษะทางสังคมด้อยกว่าผู้อื่น แต่ภายในตัวเขาเองนั้นก็มีทักษะด้านอื่นๆ
ซ่อนอยู่ หากคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมถูกต้อง
พวกเขาก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานรวมทั้งใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในรายการ American Got Talent ปีล่าสุด 2019
นี้ จะเห็นได้ว่า มีเด็กชายที่เป็นเด็กออทิสติกได้รับรางวัล Gold
Buzzer หรือรางวัลพิเศษจากคณะกรรมการให้สามารถผ่านเข้าสู่รอบการแสดงสดโดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือกอีก
และสิ่งที่ทำให้เขาชนะใจกรรมการคือดนตรีอันแสนไพเราะจากปลายนิ้วที่พรมลงเปียโน รู้หรือไม่ว่าเด็กออทิสติกมีทักษะทางดนตรีพิเศษกว่าคนปกติ ย้อนหลังในช่วงกว่า
70 ปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยอยู่มากมายที่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยในกลุ่มอาการออทิสติกเกือบครึ่งนั้นมี
Perfect
Pitch ซึ่งหมายถึงว่า มีความสามาถในการแยกเสียงดนตรี ตัวโน้ต
และจังหวะได้อย่างแม่นยำ และในขณะเดียวกันกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรี เช่น การร้องเพลง
การเล่นเครื่องดนตรี
มีส่วนช่วยในการบำบัดเด็กออทิสติกให้มีทักษะการสื่อสารทางสังคมดีขึ้นด้วย
อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของครอบครัว และเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงกันของสมองแต่ละส่วน อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่ง
เด็กออทิสติกจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มและได้รับการดูแลด้วยนักบำบัดคนเดียวกัน
แต่กลุ่มหนึ่งนักบำบัดจะมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กผ่านการร้องเพลงและเล่นดนตรี
ส่วนอีกกลุ่มใช้การบำบัดแบบไร้เสียงดนตรี
ซึ่งผลปรากฏว่ากลุ่มที่ใช้ดนตรีในการบำบัด เด็กๆ
มีทักษะการสื่อสารและคุณภาพชีวิตของครอบครัวที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ในต่างประเทศเท่านั้นที่นักวิจัยให้ความสนใจกับเรื่องนี้
ในประเทศไทยเราเองก็มีนักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นและนักดนตรีบำบัดหลายคน
ที่นำดนตรีมาประยุกต์ใช้กับการเสริมสร้างพัฒนาการให้แก่เด็กพิเศษ
โดยสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในแง่ของการฝึกออกเสียงและช่วยเสริมสร้างทักษะการเข้าสังคม
ซึ่งหลังจากเข้ารับการบำบัดด้วยเสียงดนตรี
เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จะมีอารมณ์คงที่มากขึ้น
และบางคนยังต่อยอดไปสู่การเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกหรือมุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อเป็นนักดนตรี
ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองและมีดนตรีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่า
พลังงานเสียงดนตรีนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด
ที่สำคัญคือความสามารถของเด็กออทิสติกเองที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเด็กคนอื่นๆ
คุณพ่อคุณแม่เองควรช่วยส่งเสริม อาจจะเริ่มต้นจากเปิดเพลงให้เขาฟังก่อนเพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
ชวนเขาร้องเพลงคาราโอเกะ ซื้อเครื่องดนตรีขนาดเล็กเบาๆ
ให้เขาได้สัมผัสและทำความรู้จัก หากมีโอกาสก็อาจพาเขาไปชมคอนเสิร์ต ละครเวที
ภาพยนตร์เพลง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ค้นหาความชอบไปพร้อมๆ
กับลูกรัก ใครจะไปรู้ว่าอนาคตข้างหน้า
ลูกน้อยของเราอาจจะไปยืนอยู่บนเวทีประกวดร้องเพลงบ้างก็ได้
การส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อยทำได้หลายวิธี
และหนึ่งในตัวช่วยที่น่าสนใจก็คือ พิพิธภัณฑ์
เพราะผ่านการคิดค้นและสร้างสรรค์โดยผู้เชี่ยวชาญมาแล้วในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับช่วงวัย
พิพิธภัณฑ์ 5 แห่งต่อไปนี้
เหมาะแก่การพาลูกน้อยไปเปิดโลก ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้
และเพิ่มพูนความคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กๆ แล้ว
ยังเป็นการสร้างความทรงจำร่วมกันและพัฒนาความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกด้วย พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่
1 (จตุจักร) พื้นที่การเรียนรู้ เน้นการเล่นสนุกให้สอดคล้องกับพัฒนาการและศักยภาพของเด็กแต่ละวัย
ทุกกิจกรรมผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี
ให้เหมาะกับการบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมทักษะด้านต่างๆ
ภายใต้สภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ที่ปลอดภัย แต่ละเดือนจะมีกิจกรรมพิเศษ เช่น ครัวไทยสำหรับวัยจิ๋ว
ละครโรงเล็ก คลาสศิลปะ คลาสวิทยาศาสตร์ คลาสนักประดิษฐ์ ส่วนใหญ่เหมาะกับเด็กอายุ 3-12 ปี เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์) 10.00 - 16.00 น. ไม่เสียค่าใช้จ่าย www.cdm-bangkok.com พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
คลอง 5 ปทุมธานี จุดเด่นของที่นี่คืออาคารทรงลูกเต๋าสวยงามแปลกตา
ส่วนพื้นที่ภายในแบ่งออกเป็น 6
ชั้น
โดยแต่ละชั้นจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
เรียกว่ามาสนุกร่วมกันได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโต
ทางพิพิธภัณฑ์มีมุมทดลองอิสระที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ผ่านการเล่นได้อย่างเพลิดเพลิน
ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวและสนุกกว่าที่คิด เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์
(ปิดทุกวันจันทร์) 9.30 - 16.00 น. ผู้ใหญ่
100 บาท
ผู้สูงอายุและเด็กเข้าชมฟรี (นักเรียนต้องแสดงบัตร) วันเสาร์
- วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิด 17.00 น. www.nsm.or.th/home-science-museum.html อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ แหล่งเรียนรู้ด้านอวกาศในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ที่นี่มีโชว์วิทยาศาสตร์เจ๋งๆ ให้ชมทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และมีไฮไลท์น่าสนใจมากมาย เช่น
สถานีอวกาศจำลอง…
ย่างเข้าฤดูฝนทีไร
คุณพ่อคุณแม่คงกังวลกับการดูแลสุขภาพลูกน้อย เพราะฤดูนี้อากาศจะเย็นลงและมีความชื้นสูง
ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีกว่าปกติ มีโรคติดต่อที่ต้องระวังหลายโรค
โดยเฉพาะโรคจากยุงเป็นพาหะ ไม่ว่าจะเป็น โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย แทนที่จะเอาแต่กังวลใจ ลองทำตามคำแนะนำกับ 3 เก็บที่จะช่วยป้องกันโรคจากยุงร้ายได้ เก็บที่หนึ่ง เก็บบ้านให้สะอาด
ขจัดมุมอับทึบซึ่งยุงมักชอบเข้าไปแอบเกาะพัก โดยเฉพาะตามห้องนอนที่ไม่ค่อยเปิดม่านเพราะต้องการให้ห้องมืดเพื่อจะได้ไม่มีแสงสว่างรบกวน
ในเวลากลางวัน ควรเปิดม่านทิ้งไว้
และก่อนเข้านอนควรตรวจตราให้แน่ใจว่าว่าไม่มียุงร้ายแอบอยู่ เก็บที่สอง
เก็บขยะและเศษภาชนะ ไม่ใช่แค่แหล่งน้ำเท่านั้น
แต่ถังขยะที่มีเศษอาหารหรือขยะอยู่ด้วยก็อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้เช่นกัน
ทุกคืนหลังรับประทานอาหารเสร็จ
ควรมัดปากถุงขยะแล้วนำไปทิ้งในถังขยะนอกบ้านหรือจุดที่จัดไว้ปิดฝาให้มิดชิด เก็บที่สาม
เก็บน้ำ เก็บภาชนะทุกชนิดที่มีน้ำขัง เช่น ถังรองน้ำฝน ถังในห้องน้ำ
ต้องหาฝามาปิดให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่
ส่วนขารองตู้ให้เปลี่ยนมาใส่แป้งแทนน้ำ
ก็สามารถใช้กันมดได้ผลดีไม่แพ้กันและไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงด้วย หากทำตามคำแนะนำนี้จะสามารถป้องกันโรคจากยุงตัวร้ายได้ถึง 3 โรคในคราวเดียว ในอีกทางหนึ่งอย่าลืมเตรียมอุปกรณ์ต่อสู้กับยุง เช่น สเปรย์ตะไคร้ ไม้ช็อตไฟฟ้า ยาทากันยุง ฯลฯ ติดบ้านไว้ด้วย ฤดูฝนนี้จะได้สุขภาพดีกันทั้งครอบครัว และถึงแม้จะป้องกันทุกวิธีแล้ว สำคัญที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่คือ อย่าลืมหมั่นสังเกตความผิดปกติของลูกน้อย ถ้าพบสัญญาณถึงความเจ็บป่วย เช่น ไข้สูง อาเจียน ไอบ่อย ควรรีบพาไปพบคุณหมอโดยเร็ว ที่มา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข