หน้าหนาวมาเยือนทีไรลูกน้อยมักจะมีปัญหาผิวแห้งแตกเนื่องจากผิวเด็กอ่อนบางมีโอกาสแห้งแตกง่ายหากผิวลูกแห้งมากเป็นขุยแตกและรู้สึกคัน เมื่อคันลูกก็จะเกา ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบติดเชื้อได้ mother&care มีเคล็ดลับดี ๆ ในการปกป้องผิวลูกน้อยมาฝากค่ะ ให้ลูกดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อคงความชุ่มชื้นของผิวหนังเอาไว้ การใช้น้ำอุ่นอาบน้ำให้ลูกไม่ควรใช้น้ำอุ่นจัดเกินไปเพราะจะเป็นสาเหตุทำให้ผิวลูกแห้งมาก เลี่ยงการใช้ฟองน้ำหรือผ้าเช็ดตัวขัดถูผิวลูก หยดน้ำมันมะกอกลงในน้ำอาบให้ลูกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ทา Babyครีมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลูก หลังอาบน้ำ สวมเสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่นและช่วยปกป้องผิวให้ลูก เลี่ยงการพาลูกออกไปสัมผัสกับแสงแดดจัดดูแลครบทุกข้อหนาวนี้ผิวลูกก็ไม่แห้งแตกแล้วค่ะ
งานวิจัยจาก Trieste and the University of Padua ที่ตีพิมพ์ใน Scientific Reports เผยว่า ทารกในครรภ์อายุตั้งแต่ 18 สัปดาห์ขึ้นไปจะเคลื่อนไหวโดยใช้มือข้างที่ถนัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมือขวา งานวิจัยรายงานว่าความถนัดซ้ายหรือขวาของลูกนั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่ในครรภ์ นักจิตวิทยาพัฒนาการแนะนำว่า อย่าพยายาม “แก้ไข” ความถนัดซ้ายของลูก เพราะจะส่งผลให้สมองของลูกทำงานหนักขึ้น มีโอกาสเกิดปัญหาในการเขียน การใช้กรรไกร หรือมีด และเล่นกีฬาได้ไม่ดี รวมไปถึงเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องมาจากความถนัดซ้ายหรือขวาของเด็ก ๆ เกี่ยวข้องกับการบริการจัดการและการทำหน้าที่ของสมอง สมองซีกซ้ายและซีกขวา นั้นมีหน้าที่ควบคุมการทำงานและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ข้อแนะนำ ถ้าลูกยังไม่แสดงให้เห็นการใช้มือข้างที่ถนัดภายในอายุ 2 ปี พยายามให้เขาหยิบจับสิ่งของโดยใช้มือทีละข้าง และอย่าสั่งให้ลูกใช้ช้อนหรือปากกาด้วยมือข้างใด แต่ปล่อยให้เขาได้เลือกข้างที่ถนัดด้วยตัวเอง เมื่อลูกแสดงให้เห็นว่าถนัดมือข้างไหน พยายามหากิจกรรมให้ลูกได้ใช้กล้ามเนื้อมือข้างนั้นด้วยจะดีที่สุดค่ะ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข่าวพ่อของเด็กที่ถูกวัยรุ่น 5 คนรุมโทรมระงับอารมณ์ไม่อยู่ทำร้ายร่างกายผู้ก่อเหตุ เนื่องจากญาติผู้ก่อเหตุที่อ้างตัวว่าเป็นอบต.พยายามจ่ายเงินโดยไม่ต้องแจ้งความ ยังมีมีตำรวจช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อให้เรื่องจบ สร้างความโกรธแค้นให้กับคนในสังคม และรู้สึกสะใจเมื่อผู้ทำผิดโดนพ่อเหยื่อทำร้ายเอาคืนบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกครั้งที่มีข่าวคราวเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกข่มขืน สะเทือนความรู้สึกคนเป็นพ่อเป็นแม่และทุกคนในสังคม มีคำถามว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้จะหมดไป แล้วเราจะปกป้องเด็ก ๆ ของเราอย่างไร ไทยติดอันดับ 10 โลกคดีข่มขืน ไทยติดอันดับ 10 ของโลกจากการคำนวณจำนวนคดี แต่ถ้าคำนวณจากอัตราเฉลี่ยคดีต่อประชากรหญิงจะติดอันดับ 29 ของโลก รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติล่าสุด สถิติคดีข่มขืนในไทย พ.ศ. 2552-2556 เฉลี่ยปีละ 4,000 คดี ซึ่งหมายความว่ามีเหตุเกิดขึ้นทุก 2 ชั่วโมง ตำรวจจับได้ปีละ 2,400 คดี แต่ข้อมูลจากศูนย์พัฒนาข้อมูลกระบวนการยุติธรรมสำนักงานกิจการยุติธรรมรายงานว่าคดีข่มขืนเกิดขึ้นจริงมากกว่า 30,000 ดีต่อปี เท่ากับว่าเกิดขึ้นทุก ๆ 15 นาที คดีข่มขืนที่ไม่ได้แจ้งความมีถึง 87% สถิติเรื่องราวร้องทุกข์ข่มขืนอนาจารผ่านมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ปี 2558 มี 658 ราย …
ควันบุหรี่มือสองที่ผู้สูบสร้างพิษภัยในอากาศ และทำร้ายผู้สูดดมที่อยู่ใกล้ไปด้วยโดยเฉพาะลูกวัยเบบี๋และแม่ท้อง เมื่อได้รับสารพิษจากควันบุหรี่มือสองนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ง่ายขึ้น พบว่าผู้ไม่สูบบุหรี่หลายแสนคนต้องเสียชีวิต เนื่องจากได้รับควันบุหรี่มือสอง แม่ท้อง หากได้รับควันบุหรี่มือสองก็จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์และการคลอดได้สูง อาจเกิดครรภ์เป็นพิษ แท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เกิดมาก็จะมีความเสี่ยง มีน้ำหนักตัวน้อย ตัวเล็ก มีความยาวน้อยกว่าเด็กปกติ พัฒนาการทางสมองล่าช้า อาจมีความผิดปกติทางระบบประสาท ความจำ เป็นต้น เด็กเล็ก อาจป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดบวม และมีอัตราการเป็นโรคหืดเพิ่มขึ้น เกิดการติดเชื้อของหูส่วนกลาง และในระยะยาวก็จะมีพัฒนาการของปอดน้อยกว่าเด็กที่ไม่ด้รับควันบุหรี่ ป้องกันแม่ท้องและลูกน้อยจากควันบุหรี่มือสอง อยู่ให้ห่างหรือเดินเลี่ยงไปไม่อยู่ใกล้คนที่สูบบุหรี่ พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่ บอกคนที่บ้านหรือคนที่สูบบุหรี่ใกล้ตัวให้เลิกสูบบุหรี่ พยายามทำให้บ้าน รถยนต์ส่วนตัว และที่ทำงานปลอดบุหรี่ ดูว่าสถานที่รับเลี้ยงเด็กที่นำลูกไปฝาก หรือโรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดบุหรี่หรือไม่ ถ้าไม่ควรเปลี่ยนสถานที่ สอนให้ลูกอยู่ห่างจากควันบุหรี่มือสอง และไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนสูบบุหรี่ ในระยะยาว คนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองเป็นเวลานาน ๆ มีโอกาสเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งคล้ายกับคนที่สูบบุหรี่เอง เด็ก แม่ท้อง และทุกคนจึงควรหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ค่ะ ข้อมูลอ้างอิง…
คุณแม่ที่มีลูกคนแรกอาจกังวลใจในสีอึของลูกได้ค่ะ มีทั้งเหลือง เขียว น้ำตาล ดำ ฯลฯ สงสัยใช่มั้ยคะว่าสีแบบไหนปกติและแบบไหนไม่ปกติจะได้ดูแลแก้ไขทันท่วงที มาดูสีต่าง ๆ กันค่ะว่าหมายถึงอ ะไรบ้าง ดำหรือเขียวเข้ม หรือขี้เทา ในช่วง 1-3 วันแรกของทารกแรกเกิดอึจะมีลักษณะเหนียวหนืด สีเข้ม แต่ถ้าหลังจาก 3 วันไปแล้วยังเป็นสีนี้อยู่หรือกลับมาเป็นสีนี้อีกแสดงว่าไม่ปกติ น้ำตาลสีเขียวอมน้ำตาล เป็นสีอึปกติของลูก ถ้าลูกกินนมผสมอึจะเป็นสีเข้มและเหนียวกว่ากินนมแม่ เขียว หรือสีเขียวปนน้ำตาล ในช่วงวันที่ 4-7 หลังคลอดลูกจะมีสีนี้ได้ และอาจจะเป็นสีนี้ได้จากอาหารที่คุณแม่รับประทาน เช่น คุณแม่รับประทานผักสีเขียวมาก หรือลูกถึงวัยเริ่มอาหารเสริมนอกจากนม เหลือง สีเหลืองคล้ายฟักทอง หรือมัสตาร์ด เนื้อนุ่มเนียนมีลักษณะเหลว เป็นสีอึปกติของทารก เด็กที่ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวจะมีอึสีนี้ ขาว สีขาวซีดคล้ายสีชอล์กเป็นสีที่ไม่ปกติแสดงถึงว่าตับและถุงน้ำดีของลูกอาจผิดปกติก็เป็นได้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ แดง อาจเกิดจากท้องผูก หรือระคายเคืองในลำไส้ มีเลือดปนมากับอึหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ควรรีบพาไปพบแพทย์ นอกจากสีแล้วคุณแม่สังเกตลักษณะของอึที่ไม่ปกติได้อีกค่ะ…
วัย 1-3 ปีเป็นวัยที่ลูกกำลังพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง และพฤติกรรมหนึ่งที่คุณแม่ไม่ชอบใจเลยก็คือการกรี๊ดของลูกน้อย รวมทั้งอาการเอาแต่ใจลงไปร้องดิ้น พระคุณลูกกรี๊ดคุณแม่โกรธบรรยากาศก็จะตึงเครียด มาดูวิธีรับมือกับลูกวัยกรี๊ดกันค่ะ 1.เตรียมใจลูกก่อนเจอกับสถานการณ์ คุณแม่สังเกตดูว่าลูกมักจะกรี๊ดเมื่อไหร่ด้วยเหตุผลอะไร เช่น พาไปเที่ยวห้างแล้วไม่ซื้อของเล่นให้จะร้องดิ้น ควรทำความตกลงกันก่อน 2.เบี่ยงเบนความสนใจ หรือหาสิ่งที่สนุกกว่ามาหลอกล่อ เช่น พาลูกออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แล้วลูกเล่นเพลินไม่ยอมเลิก อาจจะบอกเขาว่าน่าเสียดายจัง ถ้าไปช้าอดกินขนมร้านโปรด 3.ฝึกให้ลูกสื่อสารอย่างเหมาะสม อาการกรี๊ดเกิดจากไม่ได้ดั่งใจและยังเกิดจากการที่เด็กไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะบอกอย่างไร คุณแม่ค่อย ๆ สอนเขาค่ะ ว่าถ้าต้องการอะไรให้พูดอย่างไร สอนให้เขาบอกความรู้สึกต่าง ๆ เสียใจ โกรธ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ กลัว ฯลฯ 4.ทำใจให้สงบ ไม่โกรธ อาจจะนับ 1-10 หรือนับไปเรื่อย ๆ ค่ะคุณแม่ การที่คุณแม่ไม่โกรธ สถานการณ์จะดูคล้ายกับว่าคนหนึ่งโกรธและหาคนทะเลาะด้วยไม่ได้ก็จะสงบลงไปเองคุณแม่ยิ่งโกรธยิ่งบานปลายเพราะฉะนั้นสงบนิ่งเลยค่ะ 5.ปล่อยให้กรี๊ด ถ้าลูกร้องกรี๊ดหรือลงไปร้องดิ้นเพราะความเอาแต่ใจ คุณแม่ปล่อยเขาเต็มที่เลยค่ะ เมื่อลูกเห็นว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลก็จะเลิกไปในที่สุด แต่คุณแม่ต้องคอยดูให้อยู่ในสายตาด้วยนะคะ นอกจากใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อลดอาการกรี๊ดของลูกแล้ว…