พัฒนาการเบบี๋ แบบไหนเร็วไป แบบไหนช้าเกิน
ก่อนเริ่ม…เรามาทบทวนพัฒนาการของเด็กวัยขวบปีแรกกันก่อนค่ะ
หน้าหนาวมาเยือนทีไรลูกน้อยมักจะมีปัญหาผิวแห้งแตกเนื่องจากผิวเด็กอ่อนบางมีโอกาสแห้งแตกง่ายหากผิวลูกแห้งมากเป็นขุยแตกและรู้สึกคัน เมื่อคันลูกก็จะเกา ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบติดเชื้อได้ mother&care มีเคล็ดลับดี ๆ ในการปกป้องผิวลูกน้อยมาฝากค่ะ ให้ลูกดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อคงความชุ่มชื้นของผิวหนังเอาไว้ การใช้น้ำอุ่นอาบน้ำให้ลูกไม่ควรใช้น้ำอุ่นจัดเกินไปเพราะจะเป็นสาเหตุทำให้ผิวลูกแห้งมาก เลี่ยงการใช้ฟองน้ำหรือผ้าเช็ดตัวขัดถูผิวลูก หยดน้ำมันมะกอกลงในน้ำอาบให้ลูกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ทา Babyครีมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลูก หลังอาบน้ำ สวมเสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่นและช่วยปกป้องผิวให้ลูก เลี่ยงการพาลูกออกไปสัมผัสกับแสงแดดจัดดูแลครบทุกข้อหนาวนี้ผิวลูกก็ไม่แห้งแตกแล้วค่ะ
นมแม่มีข้อดีนานัปการดังที่คุณแม่ทราบ มีโปรตีนย่อยง่าย สร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่นดอทบวมโรคทางเดินอาหาร ป้องกันท้องเสีย ป้องกันภูมิแพ้ ต้านการอักเสบติดเชื้อ สุขภาพแข็งแรงโตเร็ว แล้วนมแม่ยังช่วยเสริมสร้างสติปัญญาความเฉลียวฉลาดให้ลูกได้ รายงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford University และ the Institute for Social and Economic Research, Essex University พบว่านมแม่ช่วยพัฒนาด้านความจำและยังช่วยเรื่องการเรียนของเด็กเมื่อถึงวัยเข้าเรียนอีกด้วย เมื่อได้กินนมทารกจะเติบโตเป็นเด็กที่มีความสุข สุขภาพจิตดีเพราะได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดแม่ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยและมีความสุขเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยพัฒนาสมองของเด็กเช่นกัน คุณแม่มือใหม่พยายามให้ลูกกินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนหรือนานกว่านั้นก็ยิ่งดีนะคะ เพราะนมแม่เลอค่าสุด ๆ ค่ะ
งานวิจัยจาก Trieste and the University of Padua ที่ตีพิมพ์ใน Scientific Reports เผยว่า ทารกในครรภ์อายุตั้งแต่ 18 สัปดาห์ขึ้นไปจะเคลื่อนไหวโดยใช้มือข้างที่ถนัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมือขวา งานวิจัยรายงานว่าความถนัดซ้ายหรือขวาของลูกนั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่ในครรภ์ นักจิตวิทยาพัฒนาการแนะนำว่า อย่าพยายาม “แก้ไข” ความถนัดซ้ายของลูก เพราะจะส่งผลให้สมองของลูกทำงานหนักขึ้น มีโอกาสเกิดปัญหาในการเขียน การใช้กรรไกร หรือมีด และเล่นกีฬาได้ไม่ดี รวมไปถึงเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องมาจากความถนัดซ้ายหรือขวาของเด็ก ๆ เกี่ยวข้องกับการบริการจัดการและการทำหน้าที่ของสมอง สมองซีกซ้ายและซีกขวา นั้นมีหน้าที่ควบคุมการทำงานและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ข้อแนะนำ ถ้าลูกยังไม่แสดงให้เห็นการใช้มือข้างที่ถนัดภายในอายุ 2 ปี พยายามให้เขาหยิบจับสิ่งของโดยใช้มือทีละข้าง และอย่าสั่งให้ลูกใช้ช้อนหรือปากกาด้วยมือข้างใด แต่ปล่อยให้เขาได้เลือกข้างที่ถนัดด้วยตัวเอง เมื่อลูกแสดงให้เห็นว่าถนัดมือข้างไหน พยายามหากิจกรรมให้ลูกได้ใช้กล้ามเนื้อมือข้างนั้นด้วยจะดีที่สุดค่ะ
หากคุณแม่กังวลว่าลูกนอนนานไม่ตื่นขึ้นมากินนมสักที คงต้องสังเกตพฤติกรรมการนอนของลูกค่ะ ถ้าลูกนอนสบาย เป็นปกติดีไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้องกังวลหรือปลุกให้ลุกขึ้นมากินนมทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง อาจยืดหยุ่นช่วงเวลาการกินกันได้ ตามความเหมาะสม การที่ลูกนอนนานถ้าไม่นานจนรู้สึกว่าผิดปกติมากก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจไปค่ะ หรือถ้าคุณแม่ยังไม่คลายความกังวลอาจปรึกษาคุณหมอ ร่วมกับการสังเกตการเจริญเติบโต น้ำหนักตัวกับปริมาณการกินของลูก ว่าเป็นไปตามเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ หากมีปัญหาจะได้ดูแลแก้ไขทัน
เด็กแต่ละคนเกิดมามีบุคลิกลักษณะต่างกันไป ความเชื่อเรื่องโชคชะตาราศีก็เป็นเรื่องน่าสนุกอีกเรื่องหนึ่งที่คุณแม่หลายท่านชื่นชอบ Mother&Care จึงนำเสนอให้คุณแม่ได้อ่านกันค่ะมาดูกันว่าโชคชะตาราศีตามเดือนเกิดมีผลต่อนิสัยใจคอ ความชอบ ความสามารถของลูกอย่างไรบ้าง ทำความรู้จักเด็ก ๆ แต่ละราศีเกิดทั้ง 12 ราศีดูซิว่าจะตรงกับลูกน้อยบ้างมั้ยน้า ลูกน้อยราศีเมษ : 21 มีนาคม -19 เมษายน หนูน้อยราศีเมษเป็นเด็กค่อนข้างเงียบ เก็บตัว เหมือนจะไม่โดดเด่น แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเปล่งประกายขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสนใจนะคะชาวเมษหลายคนมีแนวโน้มชอบคุณพ่อมากกว่าเพราะสัญลักษณ์เมษเป็นเพศชาย มีนิสัยรักอิสระ ชอบความเร็ว ชอบสีสดใส รักการแต่งตัว เป็นผู้นำตั้งแต่เกิด บางทีก็จะดูชอบทำตัวเป็นบอส แต่ก็รักพี่รักน้อง เลี้ยงลูกชาวเมษ ลูกแกะน้อยเป็นเด็กแอคทีฟพลังงานเปี่ยมล้น ต้องจับตาดูให้ดีโดยเฉพาะตอนเริ่มหัดเดิน ระวังจะพุ่งออกประตู เขามีโอกาสพลัดตกหกล้ม หัวกระแทก มากกว่าเด็กราศีอื่น บ้านต้องมีอุปกรณ์กันกระแทก หุ้มโต๊ะเก้าอี้ไว้ เป็นเด็กช่างเลือกจะเลือกกินแต่ของที่ตัวเองชอบซ้ำ ๆ ต้องชวนให้ลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง เพราะว่องไวและแรงเยอะ แนะนำของเล่นประเภททุบหรือชกได้ รถแข่ง เครื่องยนต์กลไก เกมทายปัญหา บัตรคำ เกมความรู้ ให้เขาเป็นตัวของตัวเอง มีเวลาส่วนตัว อย่าบังคับให้เล่นกับเด็กอื่นถ้าเขาไม่อยู่ในอารมณ์ ราศีนี้มีเหวี่ยงวีน อย่าสปอยล์ ให้เขาเรียนรู้กฎกติกา เพราะเป็นเด็กฉลาดถ้าพูดเหตุผลกับเขาตรง ๆ…
ผิวเบบี๋ทั้งอ่อนบางและมีโอกาสแพ้ง่าย คุณแม่จึงต้องทะนุถนอมผิวของลูกน้อยในวัยนี้เป็นพิเศษโดยเฉพาะเบบี๋ในช่วงแรกเกิดปัญหาผิวที่มักกวนใจเป็นประจำก็คือผื่นผ้าอ้อมค่ะ เเมื่อมีผื่นผ้าอ้อมลูกน้อยอาจร้องโยเยเนื่องจากไม่สบายเนื้อสบายตัวสร้างความกังวลใจให้คุณแม่ปัญหานี้แก้ไข้ได้ไม่ยากค่ะเรามาทำความรู้จักกับสาเหตุกันก่อนสักนิด สาเหตุที่พบได้บ่อย 1.เกิดจากความเปียกชื้น ทั้งจากความชื้นเกิดจากการใส่ผ้าอ้อมในขณะที่ตัวยังไม่แห้งสนิท 2.การแช่อยู่ในผ้าอ้อมที่เปียกฉี่หรืออึนานเกินไป 3.การติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์อาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ ทารกที่รับประทานยาปฏิชีวนะมักจะไวต่อการเกิดผื่นผ้าอ้อมจากเชื้อยีสต์ แนะนำ 5 วิธีปกป้องผิวอันบอบบางของลูกจากผื่นผ้าอ้อม 1.หมั่นดูผ้าอ้อมลูกบ่อย ๆ ดูว่าเปียกชื้น ลูกอึฉี่หรือยัง อย่าปล่อยให้นอนแช่ผ้าอ้อมเปื้อนอยู่นาน ๆ ให้รีบเปลี่ยน 2.ล้างทำความสะอาดผิวลูกบริเวณที่อยู่ในผ้าอ้อมไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ทุกครั้งอาจใช้น้ำเปล่าบ้าง หรือใช้สบู่เด็กที่อ่อนโยนต่อผิวเด็ก ปราศจากน้ำหอมหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง อาจเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทออแกนิกเพื่อความปลอดภัยต่อลูกกน้อย 3.ใช้ผ้าสะอาดนุ่ม ๆ เช็ดผิวลูกอย่างอ่อนโยน เลี่ยงการใช้ทิชชู่เปียกที่ผสมน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการระคายเคือง 4.ปล่อยให้บริเวณผ้าอ้อมแห้งสนิทก่อนใส่ผ้าอ้อม 5.ทาปิโตรเลียมเจลลี่ หรือครีมป้องกันผื่นผ้าอ้อมก่อนให้ลูกใส่ผ้าอ้อม หากผื่นยังไม่หายไปภายใน 2-3 วัน หรือเป็นผื่นแดงมากขึ้นควรพาไปพบคุณหมอเพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์ค่ะ
ทุกวันนี้แดดแรงทุกฤดู หรือในช่วงวันฟ้าครึ้มแดดไม่แรงจัดก็ตามแต่รังสียูวีก็ยังสามารถทำร้ายผิวได้ แม่ ๆ มักจะทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเพื่อปกป้องผิวสวย แต่ทราบไหมคะว่าเด็ก ๆ ก็ต้องการการปกป้องผิวเช่นกัน เพราะหากไม่ปกป้องผิวลูกจากอันตรายของรังสียูวี ผิวของลูกอาจมีโอกาสถูกทำร้าย โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับแสงแดดแรงกล้ายามเที่ยงวันมีโอกาสที่ผิวจะแสบแดงและร้อนได้ 6 เดือนขึ้นไป Dr. Lawrence Gibson แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเมือง Rochester รัฐ Minnesota ประเทศสหรัฐฯ เขียนบทความหนึ่งลงเว็บไซต์ Mayoclinic.org ว่า เด็กวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปจึงจะสามารถใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว คุณแม่จำเป็นต้องอ่านฉลากบนครีมกันแดดด้วยค่ะ เนื่องจากบางแบรนด์อาจมีคำแนะนำในการใช้ว่าเหมาะกับเด็กในวัยต่างกันไป เช่น 6 เดือน หรือ 12 เดือน เป็นต้น วิธีเลือกครีมกันแดดให้ลูกน้อย การเลือกครีมกันแดด (Sunscreen) สำหรับลูกน้อยวัย 6 เดือนขึ้นไป จำเป็นต้องมีความละเอียดอ่อนสักนิด เนื่องจากผิวเด็กยังอ่อนบางกว่าผู้ใหญ่ แนะนำวิธีเลือกดังนี้ค่ะ 1.มี SPF อย่างน้อยตั้งแต่ 30 ขึ้นไป 2.ปราศจากน้ำหอม สี แอลกอฮอล์ และสารเคมีต่าง ๆ 3.ผ่านการทดสอบค่า SPF…
เมื่อต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด แม่ ๆ หรือเด็กโตเมื่อออกนอกบ้านสามารถทาครีมกันแดดปกป้องผิวจากการทำลายของรังสียูวี แต่สำหรับทารกก่อนวัย 6 เดือนแล้ว ผิวหนังยังอ่อนบางและมีโอกาสแพ้ได้ง่าย จึงยังไม่เหมาะกับการทาครีมกันแดด (Sunscreen) เพื่อปกป้องผิว แต่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ ถึงแม้ทารกน้อยจะยังใช้ครีมกันแดดไม่ได้ เรายังมีวิธีอื่นในการดูแลปกป้องผิวลูกน้อย โดยการเลี่ยงพาลูกออกไปสัมผัสกับแสงแดดจัดนอกบ้านในช่วง 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นช่วงแดดจัด หรือดูว่าก่อนและหลังเวลาดังกล่าวแดดยังแรงอยู่ก็ควรเลี่ยงเช่นกัน กางร่ม ใส่เสื้อผ้าปกปิดผิวลูกไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง หรือสวมหมวกให้ลูกจะได้ไม่ต้องสัมผัสกับรังสียูวีโดยตรง คุณแม่ควรดูสักนิดว่าการสวมเสื้อผ้าหรือหมวกเพื่อป้องกันแสงแดดนั้นจะทำให้ลูกร้อนอบอ้าวเกินไปหรือไม่นะคะ
ข่าวคราวเด็กทารกมีอาการป่วยอย่างรุนแรงบางรายถึงขั้นเสียชีวิตเพราะติดเชื้อจากการหอมหรือจูบจากผู้ใหญ่เกิดขึ้นเป็นระยะ ล่าสุดคุณแม่ชาวอเมริกันอบิเกล โรสผู้สูญเสียลูกสาวอายุพียง 8 วันไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 หลังจากผ่านการทำใจเป็นเวลาหลายเดือน เธอจึงเผยแพร่เรื่องราวลงเฟซบุ๊กเพื่อเป็นข้อเตือนใจคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยทารก ตามข่าวเด็กหญิงรับเชื้อจากคนที่มีเชื้อเริมมาจูบ เชื้อโรคจึงเข้าไปทำลายกระดูกสันหลัง ปอด และสมอง เรื่องน่าเป็นห่วงก็คือคนที่เป็นโรคเริมอาจไม่แสดงอาการของโรคแต่สามารถแพร่เชื้อได้ เพราะฉะนั้นการแสดงความเอ็นดูจึงต้องอดใจไม่หอมไม่จูบเด็กทารกค่ะ สาเหตุที่เชื้อไวรัส HSV-1 สาเหตุของโรคเริมดูเหมือนจะไม่ใช่โรคร้ายแรงสำหรับผู้ใหญ่ แต่กลับอันตรายต่อทารกช่วงวัยแรกเกิดเนื่องจากภูมิคุ้มกันในวัยนี้ยังไม่แข็งแรงเพียงพอ เมื่อรับเชื้อโรคนี้เข้าไปอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต นอกจากเริมแล้ว การหอม จูบ หรืออุ้มเด็กโดยได้ไม่ล้างมือยังทำให้เด็กมีโอกาสติดเชื้อได้หลายชนิด เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก RSV และอีกหลายต่อหลายโรค เพื่อความปลอดภัยของลูกวัยทารก 1.ก่อนอุ้มเด็กควรล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด 2.ไม่ควรจับใบหน้าเด็ก 3.ไม่ควรหอมแก้มหรือจูบทารก แม้ตัวคุณแม่เองก็ตาม โดยทั่วไปเรามักเข้าใจว่าเด็กทารกไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แค่หอมแค่จูบจะเป็นอะไรไปได้ เด็กอื่นอีกตั้งมากมายไม่เห็นจะเป็นอะไร ข่าวนี้คือคำตอบค่ะ คุณแม่ที่ไม่ให้ใครมาหอมจูบลูกวัยทารก อาจจะเว่อร์เกินไป ดูน่าหมั่นไส้อนามัยจ๋า แต่คุณแม่ทำถูกแล้วค่ะ ป้องกันไว้ก่อน ไม่มีอะไรเว่อร์ไปสำหรับความปลอดภัยของลูกน้อย