Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

ทำไมต้องเลี้ยงลูกให้ซน ?

การเล่นซนมีความสำคัญกับเด็กมากกว่าที่คิดค่ะ เด็ก ๆ สมัยนี้อาจมีโอกาสออกกำลังกายหรือวิ่งเล่นซนน้อยลงเพราะอยู่หน้าจอมากขึ้น ถ้าลูกยังเล็กคุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งให้เขาเล่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือดูโทรทัศน์ นอกจากจะดึงเขาออกมาจากหน้าจอยากแล้ว ลูกยังไม่ได้ทำกิจกรรมที่สร้างความแข็งแรงและเติบโตตามวัย เด็กเล็กโดยเฉพาะวัย 1- 3 ขวบความจริงแล้วเป็นวัยที่เขาจะต้องวิ่งเล่นสำรวจโลกและซน เพื่อเจริญเติบโต แขนขามีกล้ามเนื้อ เมื่อร่างกายแข็งแรงจะมีภูมิต้านทานโรค ไม่เจ็บป่วยบ่อย การได้วิ่งเล่นภายใต้แสงแดดอ่อนยังช่วยให้รับวิตามินดีเพื่อดูแลกระดูกและกล้ามเนื้อ การที่เด็ก ๆ ได้เล่นซนจะช่วยให้เรียนรู้โลกรอบตัว เรียนรู้การป้องกันตัวว่าจะทำยังไงไม่ให้หกล้มแล้วก็แก้ปัญหาทักษะชีวิตเป็น เขาได้อยู่ในโลกจริงไม่ใช่อยู่ในโลกเสมือน เวลาลูกซนหรือป่วนคุณแม่อาจจะรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วยื่นมือถือหรือแท็บเล็ตให้ลูกดีกว่าจะได้อยู่นิ่งบ้าง ลองหาตัวช่วยอื่นดีกว่าค่ะ ที่จะทำให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกายแและพัฒนาการด้านต่าง ๆ ควรเลี่ยงให้ลูกอยู่กับมือถือแท็บเล็ตทีวีตั้งแต่ยังเล็ก เพราะจะทำให้ลูกขาดพัฒนาการหลายด้าน ทั้งด้านสังคม ภาษา การเจริญเติบโต ความแข็งแรง การอยู่นิ่งของลูกไม่คุ้มกับสิ่งที่เขาเสียไปค่ะ

Read more

สังเกต 10 อาการลูกแพ้กลูเตน

กลูเตนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ ค่ะ ซึ่งผู้ที่แพ้มักจะรับประทานกลูเตนจากขนมปัง และอาหารอื่น ๆ เช่น บะหมี่ พาสต้า อาการต้องสงสัย  ท้องผูก ท้องอืด หรือท้องเสีย หลังกินอาหารที่มีกลูเตน มีปัญหาผิวหนัง สมองตื้อ เหนื่อย อ่อนเพลีย เป็นโรคแพ้ภูมิแพ้ตัวเอง เช่น ต่อมไทรอยด์เรื้อรังเรื้อรัง โรคไขข้ออักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง ฯลฯ เวียนศรีษะ หรือ เสียการทรงตัว ปวดศีรษะ โรคไมเกรน ปวดกล้ามเนื้อ อักเสบ บวม และปวดบริเวณข้อต่อ เช่น ข้อนิ้ว หัวเข่า หรือสะโพก อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้า สมาธิสั้น ขาดสารอาหาร โลหิตจาง น้ำหนักลดทั้งที่กินได้ วิธีป้องกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากแป้งที่มีกลูเตน แม้กินเพียงนิดก็ทำให้แพ้ได้ บางรายเพียงแค่สัมผัสอาหาร หรือสิ่งที่มีกลูเตนก็ก่อให้เกิดอาการได้ แจ้งทางโรงเรียน…

Read more

สีอึลูกบอกอะไรบ้าง ?

คุณแม่ที่มีลูกคนแรกอาจกังวลใจในสีอึของลูกได้ค่ะ มีทั้งเหลือง เขียว น้ำตาล ดำ ฯลฯ สงสัยใช่มั้ยคะว่าสีแบบไหนปกติและแบบไหนไม่ปกติจะได้ดูแลแก้ไขทันท่วงที มาดูสีต่าง ๆ กันค่ะว่าหมายถึงอ ะไรบ้าง ดำหรือเขียวเข้ม หรือขี้เทา ในช่วง 1-3 วันแรกของทารกแรกเกิดอึจะมีลักษณะเหนียวหนืด สีเข้ม แต่ถ้าหลังจาก 3 วันไปแล้วยังเป็นสีนี้อยู่หรือกลับมาเป็นสีนี้อีกแสดงว่าไม่ปกติ น้ำตาลสีเขียวอมน้ำตาล เป็นสีอึปกติของลูก ถ้าลูกกินนมผสมอึจะเป็นสีเข้มและเหนียวกว่ากินนมแม่ เขียว หรือสีเขียวปนน้ำตาล ในช่วงวันที่ 4-7 หลังคลอดลูกจะมีสีนี้ได้ และอาจจะเป็นสีนี้ได้จากอาหารที่คุณแม่รับประทาน เช่น คุณแม่รับประทานผักสีเขียวมาก หรือลูกถึงวัยเริ่มอาหารเสริมนอกจากนม เหลือง สีเหลืองคล้ายฟักทอง หรือมัสตาร์ด เนื้อนุ่มเนียนมีลักษณะเหลว เป็นสีอึปกติของทารก เด็กที่ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวจะมีอึสีนี้ ขาว สีขาวซีดคล้ายสีชอล์กเป็นสีที่ไม่ปกติแสดงถึงว่าตับและถุงน้ำดีของลูกอาจผิดปกติก็เป็นได้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ แดง อาจเกิดจากท้องผูก หรือระคายเคืองในลำไส้ มีเลือดปนมากับอึหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ควรรีบพาไปพบแพทย์ นอกจากสีแล้วคุณแม่สังเกตลักษณะของอึที่ไม่ปกติได้อีกค่ะ…

Read more

ลูกวัย 4-5 ขวบให้กินเท่าไหร่ดี ?

วัย 4-5 ขวบวัยกำลังซนกำลังโต ช่วงนี้เด็กแต่ละคนอาจจะโตไม่เท่ากัน คุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าควรให้ลูกกินอาหารในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในหลักการทางการแพทย์ บอกไว้ว่าลูกน้อยในวัย 4 - 5 ปี ต้องการพลังงานและสารอาหารใน 1 วัน ประมาณ 1,450 กิโลแคลอรี่  แบ่งสัดส่วนดังนี้ คาร์โบไฮเดรต 50-60%, โปรตีน 10-15% ไขมัน 25-30% ปริมาณอาหารที่ลูกวัยนี้ควรได้รับในแต่ละวัน คาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง : 2 ½ – 3 ถ้วยตวง (ประมาณ 5 - 6 ทัพพีต่อวัน) เช่น ข้าวสวย ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น มะกะโรนี โปรตีน : 3 ½ – 4 ช้อนโต๊ะ…

Read more

นกพิราบตัวนำโรคอันตราย !!!

ภาพเด็กให้อาหารท่ามกลางฝูงนกพิราบไม่ใช่ภาพน่ารักน่าเก็บความประทับใจอีกต่อไป เพราะนั่นหมายถึงการชักนำโรคร้ายที่น่าสะพรึงกลัวมาสู่ลูกตัวน้อยของเรา แต่ละโรคอันตรายมากค่ะ ในมูลนกพิราบมีเชื้อโรค Cryptococcus neoformans ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่สูงถึงร้อยละ 9.09 และยังมีโรคต่าง ๆ จากไวรัส เชื้อรา และแบคทีเรียอีกหลายโรค สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวสามารถรับเชื้อจากนกพิราบเช่นเดียวกับคนค่ะ ถ้านกอาศัยในบริเวณบ้านสุนัขหรือแม่อาจสัมผัสกับมูลนก หรือคาบนกมาเล่นก็จะรับเชื้อโรคได้ ขอแนะนำคุณพ่อคุณแม่หลีกเลี่ยงการให้ลูกเข้าไปใกล้ฝูงนกพิราบหรือบริเวณที่มีนกพิราบถึงแม้ว่าจะมีแค่ตัวเดียวหรือไม่กี่ตัวก็ตามค่ะ เสี่ยงหลายโรคอันตราย โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไวรัสตับอักเสบซี โรคไข้หวัดนก โรคปอดอักเสบเฉียบพลัน โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคเชื้อราในปอด *นอกจากนี้ยังทำให้มีอาการท้องเสีย อุจจาระร่วง และยังมี ไรจากตัวนกพิราบที่ฟุ้งกระจายเมื่อนกกระพือปีกอันตรายต่อคนเป็นภูมิแพ้ ติดเชื้อง่ายมาก ๆ จากการสัมผัสสารคัดหลั่งในตัวนกโดยตรง เช่นอุจจาระน้ำมูกน้ำลาย จากการอยู่ใกล้ชิดกับนก อยู่กลางฝูงนกขณะที่โปรยอาหาร นกกระพือปีก นกบินไปมาเชื้อจะเข้าสู่จมูก ใครมีโอกาสเสี่ยงรับเชื้อโรคบ้าง เด็ก คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ ผู้สูงอายุ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้…

Read more

5 วิธีรับมือวัยกรี๊ด

วัย 1-3 ปีเป็นวัยที่ลูกกำลังพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง และพฤติกรรมหนึ่งที่คุณแม่ไม่ชอบใจเลยก็คือการกรี๊ดของลูกน้อย รวมทั้งอาการเอาแต่ใจลงไปร้องดิ้น พระคุณลูกกรี๊ดคุณแม่โกรธบรรยากาศก็จะตึงเครียด มาดูวิธีรับมือกับลูกวัยกรี๊ดกันค่ะ 1.เตรียมใจลูกก่อนเจอกับสถานการณ์ คุณแม่สังเกตดูว่าลูกมักจะกรี๊ดเมื่อไหร่ด้วยเหตุผลอะไร เช่น พาไปเที่ยวห้างแล้วไม่ซื้อของเล่นให้จะร้องดิ้น ควรทำความตกลงกันก่อน 2.เบี่ยงเบนความสนใจ หรือหาสิ่งที่สนุกกว่ามาหลอกล่อ เช่น พาลูกออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แล้วลูกเล่นเพลินไม่ยอมเลิก อาจจะบอกเขาว่าน่าเสียดายจัง ถ้าไปช้าอดกินขนมร้านโปรด 3.ฝึกให้ลูกสื่อสารอย่างเหมาะสม อาการกรี๊ดเกิดจากไม่ได้ดั่งใจและยังเกิดจากการที่เด็กไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะบอกอย่างไร คุณแม่ค่อย ๆ สอนเขาค่ะ ว่าถ้าต้องการอะไรให้พูดอย่างไร สอนให้เขาบอกความรู้สึกต่าง ๆ เสียใจ โกรธ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ กลัว ฯลฯ 4.ทำใจให้สงบ ไม่โกรธ อาจจะนับ 1-10 หรือนับไปเรื่อย ๆ ค่ะคุณแม่ การที่คุณแม่ไม่โกรธ สถานการณ์จะดูคล้ายกับว่าคนหนึ่งโกรธและหาคนทะเลาะด้วยไม่ได้ก็จะสงบลงไปเองคุณแม่ยิ่งโกรธยิ่งบานปลายเพราะฉะนั้นสงบนิ่งเลยค่ะ 5.ปล่อยให้กรี๊ด ถ้าลูกร้องกรี๊ดหรือลงไปร้องดิ้นเพราะความเอาแต่ใจ คุณแม่ปล่อยเขาเต็มที่เลยค่ะ เมื่อลูกเห็นว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลก็จะเลิกไปในที่สุด แต่คุณแม่ต้องคอยดูให้อยู่ในสายตาด้วยนะคะ นอกจากใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อลดอาการกรี๊ดของลูกแล้ว…

Read more

เลี้ยงลูกสายกลางเป็นอย่างไร ?

เลี้ยงลูกสอนลูก แบบไหนเรียกว่าตึงไป แบบไหนเรียกว่าหย่อนไปตามมาอ่านบทความโดย ดร.ปรียาสิริ วิฑูรชาติ กันค่ะ คุณแม่น้องธีรามีคำถามว่า ตอนนี้น้องอายุได้เกือบ 4 ปีแล้ว รักสวยรักงามมาก ชอบแต่งตัวตามอาม่า ทาคิ้ว ทาปาก ทาเล็บ เลือกเสื้อผ้าเอง จะทำอย่างไรดี ? เด็กโดยทั่วไป เมื่อช่วงวัย 2 ปีจะเริ่มอยากจะเรียนรู้สิ่งรอบตัว ช่างสังเกต และใส่ใจในคำพูดคนอื่นมากขึ้น เช่น ถ้าคนใกล้ชิดชมว่า แต่งตัวอย่างนี้สวยจัง เด็กก็อาจจะใส่เสื้อชุดนี้ซ้ำ ๆ ในทางตรงกันข้ามเด็กที่โดนตำหนิบ่อย ๆ ก็มักจะเขินอาย ไม่กล้าทำหรือไม่ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ค่ะ น้องธีราเป็นเด็กออทิสซึมที่น่ารักมาก แก้มยุ้ย ตาหวานและช่างออดอ้อน จึงไม่น่าแปลกใจที่อาม่าจะรักและดูแลเป็นพิเศษ ส่วนคุณแม่น้องธีราเป็นข้าราชการ การทำงานค่อนข้างมีความยืดหยุ่นน้อย วิธีการทำงานส่วนใหญ่จะเข้มงวด เมื่อลูกน้องทำงานพลาดก็จะใช้วิธีว่าให้หลาบจำ จนบางครั้งลูกน้องถึงกับร้องไห้ เมื่อถามถึงเพื่อนร่วมงาน คุณแม่บอกว่าไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษและจะพูดกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เนื่องจากมองว่าเป็นหัวหน้าไม่เหมาะจะวางตัวสนิทกับลูกน้อง สมัยที่ดิฉันเรียนอยู่ที่อเมริกานั้น ในแต่ละเดือนจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า Ice cream with the Dean…

Read more

ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กแรกเกิด

เมื่อแรกคลอดเด็กทารกมักมีปัญหาที่พบได้บ่อยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ศึกษาอาการต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เพื่อเตรียมพร้อมในการดูแลลูกรักค่ะ ภาวะตัวเหลือง พบได้มากที่สุดในเด็กทารกโดยประมาณ 60-70% ทั้งในทารกอายุครรภ์ครบกำหนดและคลอดก่อนกำหนดทุกราย ทั้งนี้จะเห็นสารตัวเหลืองที่ผิวหนังหรือเยื่อบุตาขาว สาเหตุ เกิดก่อนกำหนด <37 สัปดาห์ หมู่เลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน เหลืองจากเม็ดเลือดแดงแตกตัว เช่น พร่องเอนไซม์ G6PD ภาวะเม็ดเลือดแดงมากเกินไป มีรอยฟกช้ำจากการคลอด มีจุดจ้ำแดงที่ผิวหนัง หรือมีการติดเชื้อ มีภาวะลำไส้อุดตัน ท่อน้ำดีอุดตันแต่กำเนิด ฯลฯ การดูแล ควรป้อนนมบ่อยขึ้นทุก 3 ชั่วโมง ประมาณ (8 มื้อ/วัน) เพื่อให้ลูกน้อยได้ขับถ่ายสารตัวเหลืองออกจากร่างกาย ประเมินภาวะตัวเหลือง โดยสามารถใช้นิ้วกดดูสีผิวที่อยู่ใต้ผิวหนังหรือกดตรงปุ่มกระดูก ทำในห้องที่แสงสว่างเพียงพอ ถ้าพบว่า ลูกมีอาการตัวเหลืองมากหรือเพิ่มมากขึ้นให้มาพบหมอทันที เพื่อตรวจดูสารตัวเหลืองในร่างกาย การรักษาตัวเหลือง ในทารกแรกเกิดทำได้ 3 แบบคือ การส่องไฟ, การเปลี่ยนถ่ายเลือด และการใช้ยา อาการแหวะนม สาเหตุ ที่ลูกน้อยชอบแหวะนมบ่อย ๆ เนื่องจากระบบการย่อยยังไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่อยู่ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารอาจยังปิดไม่สนิท ประกอบกับการกินนมเยอะก็จะทำให้เกิดอาการได้มาก…

Read more

7 วิธีฝึกให้ลูกเก็บของเล่นเอง

ของเล่นของลูกกระจัดกระจายทั่วบ้านราวกับระเบิดลงทุกวัน การเก็บของเล่นกลายเป็นอีกงานหนึ่งที่คุณแม่ต้องจัดการ การสอนให้ลูกเก็บของเล่นเองเป็นการสอนให้เขาเรียนรู้หลายด้านค่ะ ทั้งระเบียบวินัย การดูแลรักษาของ ความรับผิดชอบ การทำอะไรเองเป็นยังช่วยให้ลูกพึ่งพาตัวเองได้ตอนโตการสอนลูกไม่ยากค่อย ๆ ฝึกเขาค่ะ 1.ช่วยกันเก็บก่อน เด็กเล็กอาจเก็บคนเดียวไม่ไหว เพราะยากเกินความสามารถ คุณแม่ชวนลูกเก็บก่อนค่ะ ทำให้การเก็บของเล่นเป็นเรื่องสนุก เป็นเกมอย่างหนึ่งที่ต้องเล่นปิดท้ายเสมอ 2.จัดเก็บเป็นหมวดหมู่ ไม่ต้องแยกหลายหมวดหมู่เกินไปลูกจะงง การแยกเก็บเป็นหมวดหมู่ทำให้ไม่ต้องเก็บของเล่นคราวละมาก ๆ เพราะลูกมักจะเลือกชิ้นที่ตัวเองชอบ นอกจากนี้ยังฝึกการแยกแยะให้ลูก คุณแม่ใช้ลิ้นชัก ลังพลาสติก หรือถังพลาสติกก็ได้ค่ะ แยกสีแต่ละลังให้ชัดเจนตกแต่งหรือแปะสติ๊กเกอร์ อาจสมมติแต่ละถังเป็นพี่ฮิปโป พี่ปลาวาฬ พี่จระเข้ ฯลฯ หิวข้าวแล้วต้องป้อนของเล่นให้หม่ำก่อน 3.เก็บของเล่นเป็นเวลา ตอนเย็นก่อนลูกอาบน้ำหม่ำข้าวเย็น พยายามให้ลูกเก็บในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อสร้างความคุ้นเคย และเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน ความเคยชินช่วยให้ลูกทำได้โดยอัตโนมัติ 4.หลอกล่อด้วยกิจกรรมสนุก ลูกกำลังสนุกกับการเล่น แต่คุณแม่มักจะให้เขาเก็บของเพื่อไปทำกิจกรรมน่าเบื่อ ไม่มีใครอยากทำหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นกิจกรรมต่อจากการเก็บของเล่นควรมีความสนุกเพื่อกระตุ้นให้ลูกเก็บค่ะ 5.เล่านิทาน คุณแม่อาจจะหาซื้อหนังสือนิทานหรือแต่งนิทานเล่าให้ลูกฟัง มีตัวเอกเป็นตัวละครหรือสัตว์น่ารักที่ลูกชอบ เล่าถึงตัวละครตัวโปรดนิสัยดี มีระเบียบ เล่นของเล่นแล้วเก็บก็ได้ค่ะ 6. บ้านต้องเป็นระเบียบด้วย ลูกเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว มองไปทางไหนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง คุณแม่ใช้ของแล้วเก็บเข้าที่ ลูกก็จะเรียนรู้สิ่งนี้ไปเอง 7.ให้รางวัลเมื่อลูกทำได้ดี บางครั้งใช้รางวัลล่อใจได้บ้างค่ะ ถ้าเขาทำได้ดี อาจจะเป็นการชมเชยหรือให้ตามข้อเรียกร้องบางอย่างเป็นพิเศษ เวลาเจอคนอื่นคุณแม่พูดชมเขาให้คนอื่นฟังด้วยนะคะ ลูกจะภูมิใจและพยายามทำดีต่อไป อดทนใช้เวลาสักนิด ฝึกลูกอย่างสม่ำเสมอ เขาจะเรียนรู้การเก็บของเล่นให้เป็นระเบียบได้ในที่สุดค่ะ

Read more

5 คำตอบ พาลูกเที่ยวทำไมฉลาดขึ้น ?

การพาลูกเที่ยวอย่างไปทะเล ออกต่างจังหวัด หรือไปต่างประเทศ นอกจากจะสนุกสนานแล้วยังดีต่อสมองของเด็กมากทีเดียวค่ะศาสตราจารย์ Jaak Panksepp นักประสาทวิทยาชั้นนำของโลก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน ผู้ค้นพบ Play System และ Seeking Sestem ในสมองแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกออกไปท่องเที่ยว และควรให้เด็กได้เล่นและสำรวจธรรมชาติป่าเขา ทะเล หรือได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการค้นหา จะช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับเด็ก เป็นการพัฒนาสมองในหลาย ๆ ด้าน เพราะเหตุใดการท่องเที่ยวดีต่อสมองลูก 1.อยู่บ้านไม่ได้ลับสมอง เวลาคุยกันก็จะคุยกันแต่เรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันอันแสนจะจืดชืด คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจแต่เรื่องการเรียน อาหารการกิน สุขภาพของลูก คอยระวังเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับลูกจริง ๆ จัง ๆ คุณพ่อหลายท่านไม่รู้ว่าจะเล่นกับลูกอย่างไร ลูกไม่ค่อยได้เล่นสนุกตามวัยอย่างพอเพียงกับที่เด็กต้องการ 2.ไปเที่ยวได้สนุกหลากหลายรูปแบบ ได้สัมผัสกับบรรยากาศแปลกใหม่  ที่ใหม่ ๆ อาหาร อากาศที่ต่างจากตอนอยู่บ้าน สัมผัสกับผู้คนแปลกใหม่ ได้สำรวจธรรมชาติ เดินป่า มองเห็นทิวทัศน์สวยงามที่แตกต่างออกไป  ไปทะเลก็จะได้เล่นน้ำ เล่นก่อปราสาททราย  เล่นบอลชายหาด ตีแบต ล่องเรือ หรือเกมกีฬาทางน้ำอื่นๆ ฯลฯ ซึ่งพ่อแม่ลูกได้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนาน 3.ผลดีต่อจิตใจ ลูกรู้สึกว่าเขาได้รับความสนใจอย่างเต็มที่…

Read more