ปัจจุบันประกันสุขภาพเหมาจ่ายสำหรับเด็กหลายเจ้าเริ่มมีการยกเลิกการขาย หรือปรับราคาขึ้นสูงมาก เพราะเด็กป่วยเยอะขึ้นทั้งจากมลภาวะ PM2.5 และเชื้อโรคที่มีการวิวัฒนาการรุนแรงขึ้น ส่วนค่ารักษาก็แพงมากขึ้นอย่างมาก หากไม่มีประกันแล้วลูกต้องเข้าโรงพยาบาลแต่ละทีก็คงต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายหมื่น ผู้ปกครองหายท่านจึงมองหาประกันสุขภาพสำหรับเด็กที่เบี้ยไม่แพงมากและคุ้มครองครอบคลุมโรคที่เด็กๆ เป็นกันมาก ขอแนะนำ ประกันสุขภาพเหมาจ่าย จาก MSIG ให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ
FIN FOR KIDS จาก MSIG
นอกจากคุ้มครองอุบัติเหตุแล้ว ยังคุ้มครองทั้ง 7 โรคฮิตในเด็ก 👶🏻
🦠 ไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์
🦠 ไข้เลือดออก
🦠 RSV
🦠 มือเท้าปาก
🦠 อาหารเป็นพิษ
🦠 ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน
🦠 โรคสุกใส
**หากเคยเป็น RSV แล้ว ก็สามารถทำได้ โดยให้พ้น Waiting Period 15 วัน รับจากวันที่กรมธรรม์อนุมัติ
คุ้มครอง...
🏥 ค่าห้อง 3,000/วัน
🏥 ค่าห้อง ICU…
คุณแม่มือใหม่
พัฒนาการเบบี๋ แบบไหนเร็วไป แบบไหนช้าเกิน
ก่อนเริ่ม…เรามาทบทวนพัฒนาการของเด็กวัยขวบปีแรกกันก่อนค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน งานนอกบ้าน งานในออฟฟิศ หรือมีงานธุระปะปังที่จะต้องทำใดๆ ก็แล้วแต่ ควรหาทางจัดการงานทั้งหมดให้เกิดการบริหารจัดการอย่างได้ผลสูงสุด โดยลำดับความสำคัญ งานยาก งานง่าย งานไหนควรเสร็จก่อน เสร็จทีหลัง
เวลามีใครถามถึงสิ่งที่แม่ๆ เคยรู้ เคยได้ยิน แต่กลับนึกชื่อ นึกคำตอบนึกสิ่งที่ควรจำได้ไม่ออกสักที เหมือนติดอยู่ที่ปาก จนรู้สึกเคืองตัวเองบ้างไหม ถ้าเคย ลองหันมาบริหารสมองให้จดจำดีแบบที่ รอน ไวท์ แนะนำกับ Einstein Memory สิคะ 1. Focus ชี้เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่คิด ต้องโฟกัสเฉพาะสิ่งที่ต้องการจะรู้ โดยใช้สติ ตั้งใจ จดจ่อกับสิ่งนั้น เช่น อยากจะจำชื่อคนนี้ ก็ต้องถามตัวเองเสมอว่าเขาชื่ออะไร พอเขาบอกชื่อมาก็ให้จดจ่อกับชื่อนั้นมากกว่าจะไปทำอย่างอื่น เช่น ขอนามบัตร ขอเบอร์ หรือถ้าอยากจะอ่านหนังสือให้จำแม่นๆ ก็ต้องใช้นิ้วชี้ไล่ไปตามตัวอักษรทีละประโยค ทีละบรรทัดเป็นรูปตัวเอส สมองก็จะจำได้ดี 2. Files จัดระเบียบสมองอย่างเป็นระบบ จัดระเบียบสมองให้จดจำข้อมูลเป็นระบบ โดยเขียนแบบแผนที่ Mind Map เริ่มจากตรงกลาง แล้วแตกแขนงออกไปในแต่ละสาขา จากนั้นให้แตกกิ่งก้านออกไปเรื่อยๆ ตามแนวความคิดในทิศทางเดียวกัน ตอนเขียนก็ให้ใช้สีคนละสีนะคะ จะได้ช่วยจัดระเบียบความจำของสมองได้ดี 3. Glues ใส่อารมณ์ความรู้สึกร่วมเข้าไป ขอตั้งชื่อ ‘กาวแห่งความจำ’ เพราะสิ่งที่ทำให้จดจำได้ดี คือ อารมณ์ ความรู้สึก…
แม่ๆ หลายคนเป็นกังวลกับกับดักที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ว่าฉันเป็นแม่ที่ดีหรือยัง ? เราจึงอยากมาเสริมความมั่นใจในความเป็นแม่กันให้มากขึ้นค่ะ 1. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับแม่คนอื่น แต่ละคนมีวิธีการเลี้ยงลูกที่ไม่เหมือนกัน ลูกเรามาเกิดกับเรา ธรรมชาติย่อมคัดสรรมาแล้วว่า แม่ลูกคู่นี้เหมาะที่จะดูแลกัน เราอย่าไปมองคนอื่นแล้วนำมาเปรียบเทียบ เอาแค่บางวิธีการที่เหมาะ และนำมาปรับใช้ให้กับเราและลูก แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นตัวของตัวเอง 2. ดีที่สุดของคุณคือดีพอ ข้อนี้มักจะเกิดจากการที่เรารู้สึกว่า เราไม่ดีพอ หรือเราพยายามไม่มากพอหรือเปล่า ถ้าคุณแม่ท่านไหนคิดแบบนี้อยู่ ลองมองไปที่ลูก แล้วดูสิว่าลูกเราต้องการอะไรเหมือนที่เราคิดหรือไม่ เช่น ลูกจะจำว่าเราไม่มีตังค์จะซื้อของเล่นแพงๆ ให้ลูก หรือลูกจะจดจำช่วงเวลาที่เขาได้ประดิษฐ์ของเล่น และเล่นสนุกสนานกับแม่มากกว่า 3. ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าละเลยอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง เพราะแม่ที่ป่วยอยู่เสมอจะไม่มีพลังในการเลี้ยงลูก และเลี้ยงได้อย่างไม่เต็มที่ แต่ถ้าคุณแม่แข็งแรง กระปรี้กระเปร่า ก็จะใช้เวลากับลูกได้เต็มที่ ทำกิจกรรมกับลูกได้อีกนาน 4. น้อยคือมาก รู้ไหมว่าเด็กๆ สนุกกับชีวิตเรียบง่าย และจดจำของขวัญชิ้นเล็กๆ ที่แม่ให้ด้วยความรัก มากกว่างานปาร์ตี้ใหญ่โต หรืองานเลี้ยงวันเกิดที่สมบูรณ์แบบ เขาอาจจะไม่ลืมของขวัญชิ้นใหญ่ๆ ที่ได้รับ แต่เขาก็จะระลึกถึงของขวัญเล็กๆ ที่มีคุณค่าทางจิตใจของเขาเสมอ 5. การสื่อสารเป็นกาวใจระหว่างแม่กับลูก ต้องเริ่มตั้งแต่ลูกยังเล็ก…
แม่ๆ หัวใจแข็งแรงกันหรือยัง ? รู้ไหม? โรคหัวใจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 2 คนต่อชั่วโมง แม่ๆ ลองทบทวนหน่อยสิคะว่าดูแลหัวใจกันดีหรือยัง ถ้ายัง เรามีวิธีแนะนำในการดูแลหัวใจกันค่ะ 1.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ แม่ๆ ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายนั้นแสนดี เพียงแต่ยังไม่ลงมือทำสักที อย่าเพียงแต่คิดนะคะ ต้องลงมือทำด้วย เพียงการเดิน หรือแอโรบิกในน้ำก็จะช่วยให้หลอดเลือดผ่อนคลายและเกิดการขยายตัวได้มากขึ้น ช่วยทำให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เข้าไปบำรุงหัวใจได้ดี ซึ่งก็ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่จำเป็นต่อการควบคุม การกำหนด และการปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง สมบูรณ์ตามมาในที่สุด 2.กินอาหารให้สมดุล ไม่มากไป ไม่น้อยไป ต้องเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดีต่อหัวใจ เช่น กินผักสด ผลไม้สด โปรตีนและธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีจนหมดคุณค่าทางอาหาร มองหาพลังงานและสารอาหารดีๆ ที่ร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ปลาแม็คเคอเรล ปลาทูน่า ถั่วเหลือง เมล็ดฟักทอง วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ หรือธัญพืชต่างๆ ที่ล้วนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด พร้อมช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ด้วยนะคะ 3.หาทางผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง เช่น…
คุณแม่หลายคนมักมีอาการปวดข้อมือ แล้วก็คิดว่าเป็นเพราะอุ้มลูก แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าลูกจะตัวเล็ก ตัวใหญ่ อุ้มมาก อุ้มน้อย หรือ ไม่ได้อุ้มลูก คุณแม่ก็เกิดอาการปวดข้อมือได้เช่นกันค่ะ ข้อมือแม่อักเสบตั้งแต่ยังไม่ได้อุ้มลูก ! เนื่องด้วยช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนในร่างกายแม่ที่เพิ่มขึ้นทำให้ปลอกหุ้มเส้นเอ็นบวมมากกว่าปกติ เส้นเอ็นจึงเสียดสีกับปลอกหุ้มบ่อยๆ และเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น เวลาจะลุกจากที่นอนก็ต้องใช้ข้อมือยันตัวเองขึ้นมา น้ำหนักก็ลงไปที่ข้อมือมากกว่าปกติ การรักษาเบื้องต้น ให้แช่มือและข้อมือในน้ำอุ่นบ่อยๆ บางคนมีอาการบวมก็แช่ได้ค่ะ หรือจะใช้ถุงน้ำร้อนประคบบ่อยๆ ก็ได้ เป็นการเตรียมข้อมือไว้อุ้มลูกด้วย ช่วงหลังคลอด ลูกร้องแม่ต้องอุ้ม อุ้มให้ลูกดูดนม อุ้มกล่อม บางครั้งอุ้มติดต่อกันเป็นชั่วโมง บางคนอุ้มผิดท่าทาง (เมื่อยก็อดทนเอา) ในเวลาไม่นานจึงทำให้ข้อมืออักเสบได้เช่นกันค่ะ การรักษาข้อมือให้แข็งแรง เพื่ออุ้มลูกได้นานๆ อุ้มลูกดูดนมให้ถูกวิธี เมื่อจะอุ้มลูกขึ้นมา ต้องเกร็งข้อมือไม่ให้งอ คือให้ข้อมือตรงกับแขนและพยายามใช้แรงแขนในการยกตัวลูกขึ้น ใช้ผ้ายืดพยุงข้อมือสวมใส่ไว้ ทายาแก้ปวดบริเวณที่ปวดได้ เมื่อเกิดอาการปวดให้ประคบเย็น เลี่ยงการอุ้มลูกโดยตรง เช่น ใช้วิธีนอนให้ลูกกินนม ใส่เป้อุ้มเด็ก โดยส่วนใหญ่หลังคลอดไปแล้วสัก 2-3 เดือน หรืออย่างช้า 6 เดือนอาการปวดจะน้อยลง หรือหายไป ถ้าปวดรุนแรง…
สิ่งที่ทำให้เป็นปัญหากับชีวิตของทุกคน คือ การเครียดแบบไม่รู้ตัวค่ะ เลยทำให้แก้ปัญหาได้ยากตามไปด้วย ดังนั้นจะขอพาคุณแม่ไปสำรวจตัวเองกันว่าเรามีสัญญาณที่ร่างกายบ่งบอกว่ากำลังเครียดหรือไม่ เพราะการรู้ตัวเร็วก็จะช่วยให้แก้ไขได้เร็วจาก 4 สัญญาณฟ้องเตือนเหล่านี้ 1. ตัวร้อน ตัวสั่น เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ อาการตัวร้อนจะเกิดขึ้นเมื่อพบเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยอุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มขึ้น จะมีเหงื่อออก ร่างกายสั่นเทา ปากแห้ง กระวนกระวายใจ หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ บางท่านอาจถึงขั้นปัสสาวะบ่อย ท้องเสีย แน่นหน้าอก เหล่านี้เป็นเพราะเมื่อเกิดความเครียด ลักษณะทางกายภาพก็เครียดตาม ทำให้แสดงออกถึงอาการดังกล่าวตามไปด้วย 2. ผมร่วง น้ำหนักลด นอนไม่หลับ เป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 ที่ร่างกายส่งสัญญาณทางกายภาพว่ากำลังเกิดอาการเครียด แล้วเมื่อแม่ๆ ปล่อยทิ้งไว้ ไม่สนใจจะแก้ไขแบบจริงๆ จังๆ อาการที่เกิดจากความเครียดในข้อที่ 1 ก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนส่งผลต่อร่างกาย มากขึ้น ทำให้เกิดอาการผมร่วง น้ำหนักลด นอนไม่หลับตามมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพิกเฉยค่ะ ต้องหาทางแก้ไขนะคะ 3. ไม่มีสมาธิ แน่นอนว่าเมื่อเกิดความเครียด แม่ๆ ย่อมไม่มีสมาธิที่จะทำอะไร ความสนใจจดจ่อกับการทำงาน…
สิ่งที่คุณแม่ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ฝุ่นควัน มลภาวะ แสงแดด ปัจจัยภายใน เช่น ภาวะความเครียด การกินอาหารที่ไม่สมดุล การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ถือเป็นตัวการที่ทำให้ผิวอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆตามมา ทั้งผิวแห้งขาดน้ำ ผิวหมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน ริ้วรอยก่อนวัย ผิวบอกบางระคายเคืองง่าย เป็นสิวง่าย เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ เพื่อให้มีผิวหน้าใส ด้วย 4 เทคนิคง่ายๆ ดังนี้ค่ะ 1.ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เพราะความเย็นของน้ำจะช่วยกระชับผิวหน้าได้ดีกว่า ช่วยทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวรูขุมขนกระชับขึ้น ช่วยลดถุงใต้ตาที่เกิดขึ้น เพราะอดนอนหรือนอนไม่พอ แถมยังช่วยลดอาการผดผื่น รวมทั้งช่วยลดการอักเสบของผิวหน้าเมื่อต้องออกไปเผชิญกับความร้อนจากแสงแดดที่แรงจัดได้อีกด้วยค่ะ 2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี การไหลเวียนของเลือดในช่วงออกกำลังกายจะช่วยพาออกซิเจนและสารอาหารเข้าไปทำงานในเซลล์ต่างๆ ของร่างกายรวมไปถึงผิวหนังด้วยจึงช่วยทำให้ใบหน้ามีความกระชับเต่งตึงขึ้น ผิวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 3.ออกไปรับแสงแดดอ่อน ในตอนเช้าๆ เพราะช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. แสงแดดในยามนี้มีวิตามินดี ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างแคลเซียม ซึ่งไม่เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟันเท่านั้น แต่ยังเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการดูแลผิวหนังได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะต่างๆได้ ดีอย่างนี้เช้าๆไปเดินเล่นรับแสงแดดอ่อนๆ เลยนะคะ 4. รักษาความชุ่มชื้นของผิวให้คงอยู่นานๆ เพราะความชุ่มชื้นของผิวเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ทุกสภาพผิวมีสุขภาพดี…
อึ เป็นตัวบ่งบอกเรื่องสุขภาพได้ทางหนึ่ง โดยเฉพาะอึของลูก ส่วนอึจะมีลักษณะแบบไหน บอกอะไรคุณแม่ได้บ้างนั้น ต้องติดตาม