เมื่อมนุษย์โลกยังคงต้องเผชิญต่อเชื้อไวรัสร้ายอย่าง Covid-19 หรือฝุ่นละอองที่ล่องลอยทำร้ายสุขภาพอยู่ทุกวัน ผู้ใหญ่หลายๆ คนบางครั้งยังต้านทานไม่ได้ แล้วร่างกายบางๆ จิ๋วๆ อย่างเด็กเล็กๆ จะทนทานได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องปวดใจของคุณพ่อคุณแม่ จริงไหมคะเมื่อโลกต้องเผชิญกับโลก เมื่อเราต้องอยู่กับมัน แบบป้องกัน และระวัง มาฝึกลูกให้ใส่หน้ากากอนามัยให้เค้าเคยชินกันค่ะ ฝึกอย่างไร มีแนวทางทั้งสิ้น 6 แนวทางด้วยกัน บางบ้านอาจใช้เพียง 1-2 แนวทาง ลูกๆ ก็ติดนิสัยสวมหน้ากากแล้ว แต่หลายบ้านอาจใช้ทั้ง 6 ก็ได้ คุณพ่อคุณแม่ลองทดลองดูค่ะแนวทางที่ 1ใส่กันทั้งบ้านเผื่อไม่ให้เด็กรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยก คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองควรสวมหน้ากากด้วย แบบร่วมด้วยช่วยกัน ไปไหนไปกันแนวทางที่ 2ฝึกให้ชินกับการพูดใต้หน้ากากอนามัย ขณะสวมหน้ากากลองให้เด็กส่องกระจกและพูดคุย ชวนคุยองศาหน้าที่ขยับ ทั้งนี้ เพื่อให้ชินและไม่รำคาญเมื่อต้องพูดภายใต้หน้ากากแนวทางที่ 3ลองสวมหน้ากากให้กับตุ๊กตา หรือ วาดรูปหน้ากากบนการ์ตูนที่เด็กชอบแนวทางที่ 4ให้เด็กๆ ดูรูปเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สวมหน้ากาก อาจเป็นภาพแฟชั่นหน้ากากสำหรับเด็กแนวทางที่ 5เล่นตกแต่งหน้าการให้เป็นรูปต่างๆ…
ตลอดปี 2020 มานี้ ประชากรทั้งโลกเผชิญกับไวรัสตัวร้าย Covid-19 ที่สถิติมีอันดับสูงขึ้นๆ ในขณะที่ทีมวิจัยก็เร่งในการสร้างวัคซีน ในระหว่างนี้ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ทั้งการดูแลตัวเองให้รอดปลอดภัยจากไวรัสร้ายนี้ ผู้ใหญ่ก็มีหลักป้องปันที่ปฎิบัติได้แบบเป็นกฎเกณฑ์ แต่สำหรับเด็กเล็กๆ พ่อแม่ต้องดูแลทุกสิ่งรอบตัว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หาทางปกป้องลูกน้อยกันสุดฤทธิ์ค่ะอาการของเด็กเล็กที่ติดเชื้อ Covid-19 กลุ่มเด็กที่เสี่ยง และหากติดเชื้อจะอันตรายมากคือ เด็กทารกจนถึงเด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปี หากติดเชื้อลักษณะอาการจะเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.5 °C ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก หายใจเร็ว หรือหายใจหอบเหนื่อย ร่วมกับในช่วง 14 วันที่ผ่านมามีประวัติเดินทางไปหรือมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อนี้อย่างต่อเนื่อง หรือเด็ก ๆ อาจจะมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่เข้าข่ายสงสัยหรือยืนยันว่ามีการติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในบ้านเดียวกัน หรือมีประวัติไปในที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด ที่ขนส่งสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น5 แนวทางสร้างพื้นที่ปลอดภัย ป้องลูกจาก Covid-19เผื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้ฝึกลูกน้อยให้เป็นนิสัย อย่างน้อยเพื่อความปลอดภัย เพื่อความมั่นใจในเวลาที่ลูกอยู่ที่โรงเรียน หรือ…
สาเหตุที่มักทำให้ลูกน้อยเกิดอาการท้องผูกในเด็กเล็กๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 เดือน สาเหตุที่ทำให้ท้องผูกได้แก่1. ไม่ได้ทานนมแม่หากลูกน้อยไม่ได้ทานนมแม่ แต่ได้รับนมผสมสูตรที่อาจไม่เหมาะกับสภาพลำไส้ ก็อาจท้องผูกได้ เพราะในนมแม่มีใยอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่าย2. ได้รับน้ำน้อยเกินไปเด็กเล็กก็คล้ายๆผู้ใหญ่ค่ะ เมื่อขาดน้ำหรือได้รับน้ำน้อยเกินไป ก็จะทำให้อุจจาระแห้งแข็ง เป็นสาเหตุให้ถ่ายยาก ถ่ายไม่คล่องและท้องผูกในที่สุด3. มีการเปลี่ยนนมหรือชนิดของอาหารเสริมในกรณีที่มีการเปลี่ยนอาหารทั้งนมผงสูตรใหม่ ยี่ห้อใหม่ ทารกจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับอาหารใหม่เนื่องจากระบบการย่อยของเด็กเล็ก ๆ ยังทำงานไม่สมบูรณ์อาจจะมีอาการท้องผูกได้3. เกิดจากอาการป่วยของลูกการเจ็บป่วย เช่น เป็นไข้หวัด ตัวร้อน บางครั้งก็อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เนื่องจากการขาดน้ำ เมื่อหายจากอาการป่วย อาการท้องผูกก็มักจะหายไป4. เกิดจากกรรมพันธุ์ในครอบครัวถ้าคุณพ่อคุณแม่มีประวัติถ่ายยากและท้องผูกบ่อย ทารกก็อาจจะท้องผูกได้ง่าย5. เกิดความผิดปกติของระบบขับถ่ายหรือลำไส้เกิดจากความผิดปกติของลำไส้หรือระบบขับถ่าย ภาวะลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด ในกรณีนี้ต้องพาลูกน้อยไปพบแพทย์6. ทารกคลอดก่อนกำหนดเมื่อทารกคลอดก่อนกำหนดระบบย่อยอาหารยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ก็อาจท้องผูกได้7. เกิดจากแพ้อาหารผ่านคุณแม่คุณแม่ในช่วงให้นมบุตร รับประทานอาหารบางชนิด ก็จะอาจส่งผลผ่านไปถึงน้ำนมที่ลูกได้รับ ทำให้ท้องผูกได้เช่นกันวิธีสังเกตว่าลูกท้องผูกหรือไม่…
เด็กเล็กๆ ทารกตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษจริงๆค่ะ ด้วยเพราะภูมิคุ้มกันของเขายังต่ำมากๆ มีความเสี่ยงที่สูงมาก ต่อการติดเชื้อจากไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคอันตรายหลายๆ โรค อย่างเช่น RSV ที่ตอนนี้ ระบาดหนักในเด็กเล็กค่ะไวรัส และ แบคทีเรียที่มีอยู่มากมาย นอกจากสร้างเชื้อเพาะร้ายแล้ว อาจรุกรามไปจนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอันตรายมาก เนื่องจากอาจทำให้ลูกน้อยพิการ หรือรุนแรงถึงเสียชีวิต ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องตื่นตัวคอยสังเกตอาการ รวมถึงป้องกันลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้ลูกติดเชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ค่ะอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือดอาการของเด็กทารกที่ติดเชื้อในกระแสเลือดจะค่อนข้างหลากหลาย เช่น มีไข้สูง ตัวเย็น เซื่องซึม เบื่ออาหาร หอบเหนื่อย และอาเจียน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อลูกน้อยมีอาการข้างต้น คุณพ่อคุณแม่อย่าวินิจฉัยและรักษาด้วยตัวเอง ควรพามาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการป่วยหากลูกน้อยเกิดการติดเชื้อแล้วต้องทำอย่างไรพบแพทย์ คือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ และปฎิบัติตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัดที่สุดค่ะ
ไม่มีอะไรจะกลุ้มใจเท่ากับที่ลูกท้องผูกอีกแล้วจริงไหมคะการขับถ่ายของลูกถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากนะคะ เพราะมีผลต่อพัฒนาการของลูกทั้งทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์ยิ่งช่วงไหนลูกท้องผูกมากก็จะรับประทานอาหารไม่ค่อยได้ อาจส่งผลให้มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ส่วนด้านอารมณ์ก็อาจจะทำให้ลูกนั้นหงุดหงิดง่าย ขาดสมาธิ หรืออาจเป็นเด็กที่ขี้กังวล กลัวการเข้าห้องน้ำไปเลยก็ได้ทางแก้อาการท้องผูกที่คุณแม่ช่วยแก้ได้ง่าย ๆ คือ การเช็คว่าลูกดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ และทานอาหารที่มี Fiber เพียงพอจริงรึเปล่า โดยเด็กอายุ 7-12 เดือน ควรได้รับน้ำวันละ 800 มล., เด็กอายุ 1-3 ขวบ ควรได้รับน้ำวันละ 1.3 ลิตร และเด็กอายุ 4-8 ขวบ ควรได้รับน้ำวันละ 1.7 ลิตร ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณน้ำต่อวันจะต้องเยอะจริงๆถึงจะช่วยให้ลูกขับถ่ายเป็นปกติได้นอกจากนี้ ไฟเบอร์หรือใยอาหารจากผักก็สำคัญ โดยเด็กๆควรได้รับปริมาณไฟเบอร์เพิ่มมากขึ้นตามอายุ เช่น อายุ 1 ขวบ ควรได้รับไฟเบอร์อย่างน้อยวันละ 6 กรัม แต่ แต่ ... หลายๆ ครั้ง หรือ คุณพ่อคุณแม่ หลาย ๆ บ้าน…
เด็กเล็กๆ ทารกตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษจริงๆค่ะ ด้วยเพราะภูมิคุ้มกันของเขายังต่ำมากๆ มีความเสี่ยงที่สูงมาก ต่อการติดเชื้อจากไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคอันตรายหลายๆ โรค อย่างเช่น RSV ที่ตอนนี้ ระบาดหนักในเด็กเล็กค่ะไวรัส และ แบคทีเรียที่มีอยู่มากมาย นอกจากสร้างเชื้อเพาะร้ายแล้ว อาจรุกรามไปจนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอันตรายมาก เนื่องจากอาจทำให้ลูกน้อยพิการ หรือรุนแรงถึงเสียชีวิต ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องตื่นตัวคอยสังเกตอาการ รวมถึงป้องกันลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้ลูกติดเชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ค่ะอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือดอาการของเด็กทารกที่ติดเชื้อในกระแสเลือดจะค่อนข้างหลากหลาย เช่น มีไข้สูง ตัวเย็น เซื่องซึม เบื่ออาหาร หอบเหนื่อย และอาเจียน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อลูกน้อยมีอาการข้างต้น คุณพ่อคุณแม่อย่าวินิจฉัยและรักษาด้วยตัวเอง ควรพามาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการป่วยหากลูกน้อยเกิดการติดเชื้อแล้วต้องทำอย่างไรพบแพทย์ คือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ และปฎิบัติตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัดที่สุดค่ะ
คุณพ่อคุณแม่คงจะเคยเจอเหตุการณ์ ลูกท้องผูกหลายวัน อึอึ๊แข็ง ลูกถ่ายยาก หรือ อึอึ๊ มีเลือดปนมาด้วย ต้องเคยเจอปัญหานี้แน่นอน ทำให้ลูกไม่สบายตัว ไม่สบายท้อง งอแง และ มีผลต่อพัฒนาการลูกอีกด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจแล้วแบบไหน ที่จะเรียกว่า ลูกท้องผูกแบบไม่ควรนิ่งนอนใจ สังเกตในหนึ่งสัปดาห์ หากลูก อึอึ๊ต่ำกว่า 3 ครั้ง แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบช่วยลูกๆแล้วค่ะ7 สาเหตุ และ 7 วิธี แก้ปัญหาเด็กท้องผูกเกิดจากกินน้ำน้อยเกินไป คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นคอยให้ลูกดื่มน้ำเยอะๆ หากเด็กๆไม่ยอมดื่มน้ำจากแก้ว อาจใช้วิธีให้กัดเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กๆ หรือจัดน้ำใสภาชนะเก๋ๆ น่ารักๆ ให้เค้าดื่มก็ได้ค่ะ กินอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อยเกินไป แก้ได้ด้วยการเพิ่มอาหารเส้นใย เช่น ผัก ผลไม้ สำหรับเด็กที่ไม่ชอบทานผักเลย ผักหากเป็นสีเขียว ลูกอาจจะ ร้องยี้ ! แนะนำว่า เป็นผลไม้ที่เป็นสีๆ หากเป็นผลไม้ก็จำพวก องุ่น ส้ม มะละกอ เชอร์รี่ ลูกพรุน แก้วมังกร…
เชื้อแบคทีเรีย อันตรายที่มองไม่เห็น แต่ป้องกันได้ ด้วย Howdy Clean+Care Water Spray สเปรย์ฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ประจุบวกที่มีดีไม่ใช่แค่ เพื่อทำความสะอาด แต่ยังบำรุงผิว คืนความอ่อนโยนไม่ทำให้ผิวเเห้งกร้านเหมือนแอลกอฮอล์ล้างมือHowdy Clean+Care Water Spray อ่อนโยนใช้ได้ทั้งผิวบอบบาง ผิวทารกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ปลอดภัยใช้ฉีดทำความสะอาดของเล่นได้สามารถปกป้องได้นานกว่า 1-3 ชั่วโมง ตัวช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับคุณแม่ สำหรับป้องกันลูกน้อยมีสารสกัดจากธรรมชาติ 5 ชนิด ที่ดี และบำรุงผิว คือ1. Hippophae Rhamnoides Fruit Oilเบอร์รี่มหัศจรรย์ อุดมไปด้วยวิตามิน A E D และ K เป็นแหล่งรวมโอเมก้า 3 6 7 และ 9 อุดมด้วยสารอาหารแร่ธาตุและกรดไขมันอิ่มตัวที่สำคัญต่อการผลิตคอลลาเจน บำรุงผิวและเล็บ2. Argania…
การดูแลลูก คุณพ่อคุณแม่ แทบจะไม่กระพริบตา แทบจะเฝ้าระวังทุกวินาที แต่ บางครั้งไวรัส และ แบคทีเรีย ที่เรามองไม่เห็นอยู่แล้ว อาจเล็ดลอด พ้นสายตา พุ่งเป้าไปยังลูกรักได้ฉันใด เหล่าแม่ๆ ก็ต้องหาทาง หากวิธี ในการป้องกันให้ได้มากที่สุดเช่นกันนี่คือ 7 วิธีป้องกันลูกน้อยจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียค่ะ เริ่มตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์เลยค่ะ1) ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ให้ดีที่สุดการดูแลลูกอย่างดีที่สุด คือ การที่คุณแม่ดูแลร่างกายตัวเองอย่างดีที่สุดค่ะ ลดความเสี่ยงทั้งหลายทั้งปวง สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อลูกน้อยเลยคือ การไปตามนัดฝากครรภ์สม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ และหากรู้สึกผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ที่สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อจากลูกสู่แม่ได้2) ให้ลูกทานนมแม่ให้นานที่สุดนมแม่นี่แหละค่ะ คืออาหารที่มีภูมิคุ้มกันชั้นเลิศของลูก คุณแม่ควรให้ลูกทานนมต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่ไม่มีวัคซีนที่ไหนจะเทียบได้ค่ะ ย้ำค่ะ นมแม่ดีที่สุด3) ดูแลความสะอาดของใช้อยู่เสมอของใช้ทุกชิ้น ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องนอน ของใช้ต่างๆ ภาชนะจำพวกขวดนมควรใช้ต้องลวกนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ ของเล่นต้องทำความสะอาด ในกรณีที่คุณแม่ไม่มีเวลา หรืออยู่ระหว่างเดินทางคุณแม่อาจมีตัวช่วยแบบด่วนๆ เช่น…
เด็กๆ ส่วนใหญ่ มักห่วงเล่น ห่วงกิน และไม่ค่อยระวังเรื่องความสะอาด บางทีเด็กๆ อาจดูแลความสะอาดในตัวตามคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่กิจกรรม หรือของเล่น แม้กระทั่งสถานที่เล่นอาจสกปรก เด็กๆ ไม่ระวัง ก็อาจทำให้เชื้อโรคแบคทีเรียต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ความรู้จักกับภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังในเด็กว่าเป็นอย่างไรคือโรคติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่เป็นชั้นตื้นๆ ของหนังกำพร้า พบบริเวณใบหน้า แขน ขา ที่มีรอยแผลอย่างรอยแผลจากการเกา พบบ่อยในเด็กและมีการติดต่อได้ง่าย โดยส่วนใหญ่จะได้ยินว่า "น้ำเหลืองไม่ดี" แต่จริงๆแล้วไม่เกี่ยวกับน้ำเหลืองค่ะลักษณะของอาการเป็นอย่างไร?เริ่มด้วยมีตุ่มน้ำหรือหนองเล็กๆที่แตกออกง่ายจึงทำให้มีน้ำเหลืองและน้ำหนองแห้งกรังเป็นสะเก็ดสีเหลืองๆ มีอาการบวมแดง ตึง อักเสบ เจ็บ และอาจมีไข้สูงสาเหตุเกิดจากเกิดจากความสกปรก ไม่รักษาความสะอาด ไปเล่นดิน น้ำ ทราย พงหญ้าแล้วไม่ล้างให้สะอาด ถูกแมลงกัด เช่น ยุงหรือมด แล้วเกาจนเป็นแผลวิธีการป้องกันทำยังไงรักษาความสะอาดทุกอย่างทั้งร่างกายและของใช้ ตัดเล็บมือเล็บเท้าลูกให้สั้น และหมั่นทำความสะอาด ทำความสะอาดหลังเล่นน้ำ ดิน ทราย งดล้วงแคะแกะเกา