ข่าวดีอีกหนึ่งสำหรับคุณแม่คลอดเองค่ะ งานวิจัยเผยแพร่ในวารสารงานวิจัยออนไลน์ eLife เมื่อ ปี 2016 กล่าวว่า ฮอร์โมนความเครียด Glucocorticoids ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาระหว่างการคลอดลูกจะช่วยให้ร่างกายทารกเผาผลาญไขมันได้ดี นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า ยีนและฮอร์โมนสำคัญหลายชนิดยังไม่พร้อมทำงานจนกว่าจะใกล้ถึงเวลาคลอดตามธรรมชาติ Glucocorticoids จะทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เรียกว่า PPARa ในตับของทารกเพื่อเผาผลาญไขมันจากการกินนม ซึ่งมีประโยชน์ต่อกระบวนการเผาผลาญในร่างกายไปจนตลอดชีวิตของลูก ช่วยป้องกันโอกาสเกิดโรคเบาหวานและไขมันในตับ ฮอร์โมนตัวนี้ยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ปอด และ สมองอีกด้วยค่ะ
Knowledge
ความรู้ ทั้งอัพเดท และ How to การเลี้ยงดูลูก รวมถึงการดูแลตัวเอง ฉบับคุณแม่ คุณพ่อ ยุคใหม่ ที่ครบคลุมตั้งแต่ ช่วงตั้งครรภ์ จนถึง ลูกอยู่ในวัยประถม
หากสงสัยว่าลูกจะเป็นสมาธิสั้นหรือเปล่าลองสังเกตอาการดูค่ะ อาการของเด็กสมาธิสั้น ตามเกณฑ์วินิจฉัยของ DSM-5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) 1.อาการขาดสมาธิ ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ ขาดสมาธิในขณะทำงานหรือทำกิจกรรมอื่น ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย ไม่สามารถตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดได้ ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบ พยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ วอกแวกง่าย ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นหายอยู่บ่อยๆ ขี้ลืม 2. อาการซน อยู่ไม่นิ่ง และอาการหุนหันพลันแล่น ยุกยิก อยู่ไม่สุข นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ ชอบวิ่ง ปีนป่าย เล่นเสียงดัง ตื่นตัวตลอดเวลา พูดมาก พูดโพล่งโดยยังฟังไม่จบ รอคอยไม่เป็น มักจะขัดจังหวะหรือแทรกเวลาผู้อื่นพูด หากมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 มากกว่า 6 อาการขึ้นไป โดยที่อาการเกิดก่อนอายุ 12 ปี ซึ่งอาจมีลักษณะเด่นเฉพาะ 1 หรือข้อ 2 หรือทั้งสองข้อ มีโอกาสที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นได้ค่ะ ข้อมูลจาก…
สร้างลูกฉลาดมีหลากหลายวิธี ลองมาดู 9 วิธีต่อไปนี้ค่ะ 1.มองตา…ส่งยิ้ม เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้นปุ๊บ คุณพ่อคุณแม่คอยสบสายตาลูกน้อยสักพัก ทำบ่อย ๆ ลูกจะจดจำใบหน้าพ่อแม่ได้ ซึ่งก็เป็นใบหน้าที่ลูกอยากเห็นอยากจำมากที่สุด 2.กินนมแม่..ลูกฉลาดแน่มาตอกย้ำกันอีกสักครั้งกับประโยชน์ของนมแม่ ยิ่งให้ลูกกินนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งทำให้ลูกมีไอคิวและอีคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ แล้วที่สำคัญทั้งลูกและแม่ยังรู้สึกอบอุ่น รักกันมากที่สุดอีกด้วย 3.ทำตลก..ลูกคึกคัก อย่าคิดว่าทารกแรกเกิดมองเห็นไม่ชัดหรือไม่รู้จักสีหน้าของคนที่อยู่ใกล้ชิดนะคะ ลองทำหน้าตลก ๆ ให้ลูกดู รับรองว่าไม่กี่ทีลูกน้อยเลียนแบบได้แน่ ๆ ค่ะ 4.ส่องกระจก..เพิ่มเสียงหัวเราะเด็กเล็ก ๆ ชอบเล่นกับกระจกเงาทุกคน เขาจะสนุกกับการเห็นหน้าตัวเอง หน้าพ่อแม่ที่ยิ้ม หัวเราะ โบกมือ เพราะภาพข้างหน้าจะทำตอบกลับมาให้ทุกครั้งนั่นเอง 5.จั๊กจี๋..เรียกเสียงหัวเราะเริ่มต้นจากปูไต่ ลูกน้อยฝึกการคาดเดาจากการสัมผัส รู้สึกจั๊กจี๋ก็ทำให้อารมณ์ดี หัวเราะออกมา เป็นการเสริมสร้างเรื่องอีคิวให้ลูกได้อีกทาง 6.เดินเล่นนอกบ้าน..สบายอารมณ์เช้าหรือเย็น แดดอ่อนลมโชยเบา ๆ พาลูกน้อยสำรวจรอบบ้าน จะเป็นต้นไม้ใบหญ้า นกบินผ่าน แมวกระโดด เสียงหมาเห่า คุณพ่อคุณแม่ชี้ให้ลูกมองตาม…
หากมีสัญญาณเตือนต่อไปนี้คุณแม่อย่านิ่งนอนใจ รีบไปพบคุณหมอนะคะ 1.เลือดออกทางช่องคลอด เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ตั้งครรภ์นอกมดลูก รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด ฯลฯ 2.คลื่นไส้อาเจียนมากผิดปกติ โดยทั่วไปแล้วคุณแม่มักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนแพ้ท้องตอนเช้า ๆ ในช่วง 3 เดือนแรก แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการมากเกินไปควรปรึกษาคุณหมอค่ะ 3.มีไข้ อาการไข้ในแม่ท้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะคุณแม่อาจติดเชื้อ ถ้าไข้สูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป กินยาแก้ไข้แล้วยังไม่หายภายในวันสองวัน ควรจะพบคุณหมอค่ะ 4.ปวดขาถึงน่อง ตะคริวที่ขาเป็นอาการปกติ แต่ถ้าอาการปวดนั้นรุนแรง พยายามยืดเท้าหรือเดินแล้วยังไม่หาย อาจเกิดจากหลอดเลือดอุดตันบริเวณขา 5.ของเหลวไหลออกจากช่องคลอด อาจจะเป็นน้ำ เป็นเมือก ตกขาวผิดปกติหรือมากเกินไป มีกลิ่นเหม็น 6.น้ําคร่ำแตก น้ำคร่ำจะเป็นน้ำใส ๆ ไม่เหนียว คล้ายปัสสาวะ ถ้ารั่วจะแค่เปียกกางเกงใน แต่ถ้าแตกปริมาณน้ำจะมากจนเปียกชุ่มหรือไหลไปตามขา แม้ยังไม่ครบกำหนดคลอดก็รีบไปโรงพยาบาลค่ะ 7.มีอาการท้องแข็งในช่วงเดือนแรก ๆ และเกิดขึ้นถี่ ตามปกติแล้วอาการท้องแข็งมักจะเกิดในช่วงไตรมาสสุดท้าย 8.แสบเวลาปัสสาวะ เกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อย่าละเลยต้องไปพบคุณหมอค่ะ 9.เจ็บท้องกะทันหัน โดยเฉพาะอาการเจ็บท้องที่มีเลือดออกทางช่องคลอดด้วย รีบไปหาหมอโดยด่วนที่สุด…
อาหารมีส่วนช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงได้แม้ในยามเจ็บป่วย ขอแนะนำ 4 เมนูช่วยบำบัดอาการ ไอ เจ็บคอ และมีเสมหะค่ะ 1.ซุปฟักทอง หรือผัดฟักทอง สีเหลืองนวลของเนื้อฟักทองนั้นมีสารเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยทำให้เนื้อเยื่อของเมือกบุในลำคอและทางเดินหายใจมีความแข็งแรง และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย 2.ปลาแซลมอนอบผักรวม วิตามินดีจากไขมันปลาแซลมอนจะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อในลำคอ นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยผักสารพัด คุณแม่อาจปรุงด้วยซูกินี สควอชเหลือง และมะเขือเทศ เพิ่มความเปรี้ยวด้วยน้ำเลมอนก็จะทำให้ไม่เลี่ยนได้ 3.สลัดกรีกอะโวคาโด วิตามินอีในผลอะโวคาโดและอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกเชื้อโรคทำลายให้แข็งแรง 4.ผลไม้อุดมวิตามินซี ช่วยลดอาการเจ็บคอ เช่น ส้ม สับปะรด เสาวรส มะละกอ แคนตาลูป เงาะ แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี ลิ้นจี่ พุทรา ส่วนเครื่องดื่ม เช่น น้ำมะตูมแก้ร้อนใน ดับกระหาย ชุ่มคอ น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ช่วยขับเสมหะ อาหารควรเลี่ยงอาหารประเภททอด หรือของหวาน เช่น กะทิ โค้ก โดนัท ช็อกโกแลต จะกระตุ้นให้ยิ่งมีเสมหะและอาการไอเพิ่มขึ้น
การเล่นซนมีความสำคัญกับเด็กมากกว่าที่คิดค่ะ เด็ก ๆ สมัยนี้อาจมีโอกาสออกกำลังกายหรือวิ่งเล่นซนน้อยลงเพราะอยู่หน้าจอมากขึ้น ถ้าลูกยังเล็กคุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งให้เขาเล่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือดูโทรทัศน์ นอกจากจะดึงเขาออกมาจากหน้าจอยากแล้ว ลูกยังไม่ได้ทำกิจกรรมที่สร้างความแข็งแรงและเติบโตตามวัย เด็กเล็กโดยเฉพาะวัย 1- 3 ขวบความจริงแล้วเป็นวัยที่เขาจะต้องวิ่งเล่นสำรวจโลกและซน เพื่อเจริญเติบโต แขนขามีกล้ามเนื้อ เมื่อร่างกายแข็งแรงจะมีภูมิต้านทานโรค ไม่เจ็บป่วยบ่อย การได้วิ่งเล่นภายใต้แสงแดดอ่อนยังช่วยให้รับวิตามินดีเพื่อดูแลกระดูกและกล้ามเนื้อ การที่เด็ก ๆ ได้เล่นซนจะช่วยให้เรียนรู้โลกรอบตัว เรียนรู้การป้องกันตัวว่าจะทำยังไงไม่ให้หกล้มแล้วก็แก้ปัญหาทักษะชีวิตเป็น เขาได้อยู่ในโลกจริงไม่ใช่อยู่ในโลกเสมือน เวลาลูกซนหรือป่วนคุณแม่อาจจะรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วยื่นมือถือหรือแท็บเล็ตให้ลูกดีกว่าจะได้อยู่นิ่งบ้าง ลองหาตัวช่วยอื่นดีกว่าค่ะ ที่จะทำให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกายแและพัฒนาการด้านต่าง ๆ ควรเลี่ยงให้ลูกอยู่กับมือถือแท็บเล็ตทีวีตั้งแต่ยังเล็ก เพราะจะทำให้ลูกขาดพัฒนาการหลายด้าน ทั้งด้านสังคม ภาษา การเจริญเติบโต ความแข็งแรง การอยู่นิ่งของลูกไม่คุ้มกับสิ่งที่เขาเสียไปค่ะ
กลูเตนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ ค่ะ ซึ่งผู้ที่แพ้มักจะรับประทานกลูเตนจากขนมปัง และอาหารอื่น ๆ เช่น บะหมี่ พาสต้า อาการต้องสงสัย ท้องผูก ท้องอืด หรือท้องเสีย หลังกินอาหารที่มีกลูเตน มีปัญหาผิวหนัง สมองตื้อ เหนื่อย อ่อนเพลีย เป็นโรคแพ้ภูมิแพ้ตัวเอง เช่น ต่อมไทรอยด์เรื้อรังเรื้อรัง โรคไขข้ออักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง ฯลฯ เวียนศรีษะ หรือ เสียการทรงตัว ปวดศีรษะ โรคไมเกรน ปวดกล้ามเนื้อ อักเสบ บวม และปวดบริเวณข้อต่อ เช่น ข้อนิ้ว หัวเข่า หรือสะโพก อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้า สมาธิสั้น ขาดสารอาหาร โลหิตจาง น้ำหนักลดทั้งที่กินได้ วิธีป้องกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากแป้งที่มีกลูเตน แม้กินเพียงนิดก็ทำให้แพ้ได้ บางรายเพียงแค่สัมผัสอาหาร หรือสิ่งที่มีกลูเตนก็ก่อให้เกิดอาการได้ แจ้งทางโรงเรียน…
คุณแม่ที่มีลูกคนแรกอาจกังวลใจในสีอึของลูกได้ค่ะ มีทั้งเหลือง เขียว น้ำตาล ดำ ฯลฯ สงสัยใช่มั้ยคะว่าสีแบบไหนปกติและแบบไหนไม่ปกติจะได้ดูแลแก้ไขทันท่วงที มาดูสีต่าง ๆ กันค่ะว่าหมายถึงอ ะไรบ้าง ดำหรือเขียวเข้ม หรือขี้เทา ในช่วง 1-3 วันแรกของทารกแรกเกิดอึจะมีลักษณะเหนียวหนืด สีเข้ม แต่ถ้าหลังจาก 3 วันไปแล้วยังเป็นสีนี้อยู่หรือกลับมาเป็นสีนี้อีกแสดงว่าไม่ปกติ น้ำตาลสีเขียวอมน้ำตาล เป็นสีอึปกติของลูก ถ้าลูกกินนมผสมอึจะเป็นสีเข้มและเหนียวกว่ากินนมแม่ เขียว หรือสีเขียวปนน้ำตาล ในช่วงวันที่ 4-7 หลังคลอดลูกจะมีสีนี้ได้ และอาจจะเป็นสีนี้ได้จากอาหารที่คุณแม่รับประทาน เช่น คุณแม่รับประทานผักสีเขียวมาก หรือลูกถึงวัยเริ่มอาหารเสริมนอกจากนม เหลือง สีเหลืองคล้ายฟักทอง หรือมัสตาร์ด เนื้อนุ่มเนียนมีลักษณะเหลว เป็นสีอึปกติของทารก เด็กที่ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวจะมีอึสีนี้ ขาว สีขาวซีดคล้ายสีชอล์กเป็นสีที่ไม่ปกติแสดงถึงว่าตับและถุงน้ำดีของลูกอาจผิดปกติก็เป็นได้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ แดง อาจเกิดจากท้องผูก หรือระคายเคืองในลำไส้ มีเลือดปนมากับอึหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ควรรีบพาไปพบแพทย์ นอกจากสีแล้วคุณแม่สังเกตลักษณะของอึที่ไม่ปกติได้อีกค่ะ…
แม่ท้องต้องปรับเปลี่ยนวิธีคาดเข็มขัดนิรภัยสักนิดค่ะ วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับคนท้อง จะต้องพาดผ่านระหว่างอกพอดีและพาดเลยต่อไปที่ด้านข้างของลำตัว ห้ามพาดผ่านส่วนท้อง ส่วนล่างจะต้องพาดผ่านบริเวณส่วนบนของขา ไม่เลยขึ้นไปพาดที่ท้องเด็ดขาด โดยจะต้องพาดยาวจากสะโพกข้างหนึ่งไปยังสะโพกอีกข้าง คาดเข็มขัดนิรภัยถูกวิธีปลอดภัยทั้งคุณแม่และคุณลูกค่ะ
ข้อดีหลายอย่างของการมีลูกช้าก็คือคุณแม่พร้อมทั้งการเงินและการงาจัดการปัญหาได้ดีกว่าตอนอายุยังน้อย แต่ข้อด้อยก็คือโอกาสตั้งครรภ์ลดลงและมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นไปตามอายุ จึงต้องดูแลตัวเองและพบคุณหมอตามนัดเพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาค่ะโอกาสเกิดภาวะต่าง ๆ สำหรับคุณแม่ 35 ปีมีดังนี้ 1.โรคเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูง คุณแม่ที่น้ำหนักขึ้นมากเกินเกณฑ์มาตรฐานควรระวังเป็นพิเศษ 2.ครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะอันตรายค่ะ คุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงมีโอกาสเสี่ยงมาก 3.รกเกาะต่ำ อาจทำให้เสียเลือดมากขณะคลอด อาจต้องผ่าคลอดแทนการคลอดเอง 4.แท้ง ช่วง 3 เดือนแรกมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าแม่ที่อายุน้อยกว่า 35 ปี และจะเสี่ยงแท้งมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น 5.ความผิดปกติของทารก ดาวน์ ซินโดรมเป็นภาวะเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุของแม่ 6.คลอดก่อนกำหนด 7.ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่าปกติ 8.ทารกเสียชีวิตขณะอยู่ในครรภ์ แม้จะมีโอกาสเสี่ยงหลายข้อ แต่คุณแม่อย่ากังวลใจจนเกินไป การอยู่ในความดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด ตรวจครรภ์สม่ำเสมอตามนัด ใส่ใจสุขภาพตัวเอง ทำจิตใจให้แจ่มใส ก็สามารถมีสมาชิกใหม่ตัวน้อย ๆ แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งแม่และลูกค่ะ