คุณพ่อคุณแม่เคยนึกมั้ยคะว่า จะเตรียมอะไรมอบเป็นของขวัญให้ลูกแรกเกิดและยังสร้างความประทับใจให้กับเขาไปจนถึงตอนโต ขอแนะนำ Horokid หนังสือคำทำนายที่คุณพ่อคุณแม่สร้างเพื่อลูกโดยเฉพาะ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำให้กับเด็ก ๆ ค่ะ เนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะ ?ภายในหนังสือจะบอกเล่าถึงลักษณะนิสัยของเด็กตามช่วงเวลาเกิดของเด็กแต่ละคน บอกปีนักษัตร ราศีเกิด โดยคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสร้างเนื้อหาจากการใส่ข้อมูล วัน เดือน ปีเกิด กรุ๊ปเลือด ของลูก แล้วคุณพ่อคุณแม่ยังเขียนคำอวยพรจากใจสู่ลูกได้ด้วยนะคะ ถ้าอยากสร้างให้ลูกรักซักเล่มนึงต้องทำยังไงบ้าง ?ง่ายมาก ๆ ค่ะ เข้าไปในเว็บไซต์ Horokid เข้าไปกรอกข้อมูล ใส่ชื่อลูก วันเดือนปีเกิดของลูก พิมพ์คำอวยพรหรือข้อความซึ้ง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่อยากจะบอกลูก ไม่เกิน 10 วันก็จะได้รับหนังสือส่งมาทางไปรษณีย์ค่ะ เท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ของขวัญชิ้นพิเศษสุดที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกมอบให้ลูกรักแล้วค่ะ
Knowledge
ความรู้ ทั้งอัพเดท และ How to การเลี้ยงดูลูก รวมถึงการดูแลตัวเอง ฉบับคุณแม่ คุณพ่อ ยุคใหม่ ที่ครบคลุมตั้งแต่ ช่วงตั้งครรภ์ จนถึง ลูกอยู่ในวัยประถม
คุณแม่มือใหม่มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องเรียนรู้ แม้กระทั่งของที่ต้องเตรียมซื้อให้ลูกอย่างรถเข็นเด็กก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในท้องตลาดมีรถเข็นเด็กหลายแบบหลายชนิด รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปเพื่อจะให้โดนใจคุณแม่ที่มีความชอบแตกต่างกัน ทีนี้คุณแม่ก็ต้องมาคำนึงถึงอะไรบ้าง เลือกคุณภาพระดับไหน น้ำหนักเบาดีมั้ย ขนาดใหญ่หรือเล็กดีล่ะ แล้วยังมีแบบที่นั่งเดียวหรือหลายที่นั่งอีก มีลูกคนเดียวแต่ข้าวของเยอะรถเข็นขนาดใหญ่ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ใช่ ไหนยังประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ก็ยังมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจเลือกได้ มือใหม่น่าจะมึนกับตัวเลือกอันล้นหลามเหล่านี้ เรามีข้อแนะนำดี ๆ เป็นตัวช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจค่ะ 1.ตั้งงบประมาณ รถเข็นเด็กมีราคาตั้งแต่ประมาณหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ลองดูงบประมาณค่ะว่าถ้าจะซื้อรถเข็นให้ลูกสักคันคิดว่าจะจ่ายในราคาไม่เกินเท่าไหร่ แล้วค่อยมองหารถเข็นที่ใกล้เคียงกับงบประมาณในใจของคุณแม่จะได้ตีกรอบเป้าหมายในการเลือก 2.ดูคุณภาพ คุณภาพกับราคามักจะไปด้วยกันค่ะ คุณแม่ต้องถามตัวเองว่าต้องการคุณภาพระดับไหน ความทนทาน ความประณีต วัสดุที่ใช้ ความสะดวกในการใช้งาน อาจจะถามจากคุณแม่ผู้มีประสบการณ์ค่ะ 3.จะใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง เหตุผลในการเลือกรถเข็นที่เหมาะสมของแต่ละคนแตกต่างกันค่ะ คุณแม่ดูว่าต้องการประโยชน์ใช้สอยอย่างไร เช่น คุณแม่นักชอปฯ อาจมองหารถเข็นขนาดใหญ่มีที่วางของใต้รถ มีที่แขวน หรือมีช่องใส่ของใช้ของลูกหยิบสะดวก มีไลฟ์สไตล์ออกนอกบ้านบ่อย พาลูกเดินเล่นในสวนสาธารณะเป็นประจำ หรือจะมีลูกอีกคนภายใน 1 ถึง 3 ปีมั้ยจะได้เน้นที่ความทนทาน ถ้าเดินทางต่างประเทศบ่อยก็อาจเลือกแบบน้ำหนักเบา ถ้าขับรถคันเล็กที่เก็บของน้อยก็อาจพิจารณารถเข็นเด็กที่มีขนาดเล็กค่ะ 4.ดูความปลอดภัย ตัวรถมีความมั่นคงแข็งแรง น้ำหนักไม่เบาเกินไปเพื่อจะได้ไม่ล้มคว่ำง่าย หรือไม่หนักมาก เมื่อถึงเวลาลงเนินคุณแม่มีแรงจับรถเข็นไว้ได้ ตัวล้อไม่ลื่นจนเกินไป ไม่มีส่วนใดเป็นอันตรายต่อลูก เช่น มีส่วนที่แข็งหรือแหลมคม มีช่องที่มือหรือเท้าจะเข้าไปติดได้ สายรัดตัวเด็กแน่นหนาแต่ไม่ทำให้อึดอัดปลดล็อคง่าย…
ผิวเบบี๋ทั้งอ่อนบางและมีโอกาสแพ้ง่าย คุณแม่จึงต้องทะนุถนอมผิวของลูกน้อยในวัยนี้เป็นพิเศษโดยเฉพาะเบบี๋ในช่วงแรกเกิดปัญหาผิวที่มักกวนใจเป็นประจำก็คือผื่นผ้าอ้อมค่ะ เเมื่อมีผื่นผ้าอ้อมลูกน้อยอาจร้องโยเยเนื่องจากไม่สบายเนื้อสบายตัวสร้างความกังวลใจให้คุณแม่ปัญหานี้แก้ไข้ได้ไม่ยากค่ะเรามาทำความรู้จักกับสาเหตุกันก่อนสักนิด สาเหตุที่พบได้บ่อย 1.เกิดจากความเปียกชื้น ทั้งจากความชื้นเกิดจากการใส่ผ้าอ้อมในขณะที่ตัวยังไม่แห้งสนิท 2.การแช่อยู่ในผ้าอ้อมที่เปียกฉี่หรืออึนานเกินไป 3.การติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์อาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ ทารกที่รับประทานยาปฏิชีวนะมักจะไวต่อการเกิดผื่นผ้าอ้อมจากเชื้อยีสต์ แนะนำ 5 วิธีปกป้องผิวอันบอบบางของลูกจากผื่นผ้าอ้อม 1.หมั่นดูผ้าอ้อมลูกบ่อย ๆ ดูว่าเปียกชื้น ลูกอึฉี่หรือยัง อย่าปล่อยให้นอนแช่ผ้าอ้อมเปื้อนอยู่นาน ๆ ให้รีบเปลี่ยน 2.ล้างทำความสะอาดผิวลูกบริเวณที่อยู่ในผ้าอ้อมไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ทุกครั้งอาจใช้น้ำเปล่าบ้าง หรือใช้สบู่เด็กที่อ่อนโยนต่อผิวเด็ก ปราศจากน้ำหอมหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง อาจเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทออแกนิกเพื่อความปลอดภัยต่อลูกกน้อย 3.ใช้ผ้าสะอาดนุ่ม ๆ เช็ดผิวลูกอย่างอ่อนโยน เลี่ยงการใช้ทิชชู่เปียกที่ผสมน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการระคายเคือง 4.ปล่อยให้บริเวณผ้าอ้อมแห้งสนิทก่อนใส่ผ้าอ้อม 5.ทาปิโตรเลียมเจลลี่ หรือครีมป้องกันผื่นผ้าอ้อมก่อนให้ลูกใส่ผ้าอ้อม หากผื่นยังไม่หายไปภายใน 2-3 วัน หรือเป็นผื่นแดงมากขึ้นควรพาไปพบคุณหมอเพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์ค่ะ
ทุกวันนี้แดดแรงทุกฤดู หรือในช่วงวันฟ้าครึ้มแดดไม่แรงจัดก็ตามแต่รังสียูวีก็ยังสามารถทำร้ายผิวได้ แม่ ๆ มักจะทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเพื่อปกป้องผิวสวย แต่ทราบไหมคะว่าเด็ก ๆ ก็ต้องการการปกป้องผิวเช่นกัน เพราะหากไม่ปกป้องผิวลูกจากอันตรายของรังสียูวี ผิวของลูกอาจมีโอกาสถูกทำร้าย โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับแสงแดดแรงกล้ายามเที่ยงวันมีโอกาสที่ผิวจะแสบแดงและร้อนได้ 6 เดือนขึ้นไป Dr. Lawrence Gibson แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเมือง Rochester รัฐ Minnesota ประเทศสหรัฐฯ เขียนบทความหนึ่งลงเว็บไซต์ Mayoclinic.org ว่า เด็กวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปจึงจะสามารถใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว คุณแม่จำเป็นต้องอ่านฉลากบนครีมกันแดดด้วยค่ะ เนื่องจากบางแบรนด์อาจมีคำแนะนำในการใช้ว่าเหมาะกับเด็กในวัยต่างกันไป เช่น 6 เดือน หรือ 12 เดือน เป็นต้น วิธีเลือกครีมกันแดดให้ลูกน้อย การเลือกครีมกันแดด (Sunscreen) สำหรับลูกน้อยวัย 6 เดือนขึ้นไป จำเป็นต้องมีความละเอียดอ่อนสักนิด เนื่องจากผิวเด็กยังอ่อนบางกว่าผู้ใหญ่ แนะนำวิธีเลือกดังนี้ค่ะ 1.มี SPF อย่างน้อยตั้งแต่ 30 ขึ้นไป 2.ปราศจากน้ำหอม สี แอลกอฮอล์ และสารเคมีต่าง ๆ 3.ผ่านการทดสอบค่า SPF…
เมื่อต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด แม่ ๆ หรือเด็กโตเมื่อออกนอกบ้านสามารถทาครีมกันแดดปกป้องผิวจากการทำลายของรังสียูวี แต่สำหรับทารกก่อนวัย 6 เดือนแล้ว ผิวหนังยังอ่อนบางและมีโอกาสแพ้ได้ง่าย จึงยังไม่เหมาะกับการทาครีมกันแดด (Sunscreen) เพื่อปกป้องผิว แต่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ ถึงแม้ทารกน้อยจะยังใช้ครีมกันแดดไม่ได้ เรายังมีวิธีอื่นในการดูแลปกป้องผิวลูกน้อย โดยการเลี่ยงพาลูกออกไปสัมผัสกับแสงแดดจัดนอกบ้านในช่วง 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นช่วงแดดจัด หรือดูว่าก่อนและหลังเวลาดังกล่าวแดดยังแรงอยู่ก็ควรเลี่ยงเช่นกัน กางร่ม ใส่เสื้อผ้าปกปิดผิวลูกไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง หรือสวมหมวกให้ลูกจะได้ไม่ต้องสัมผัสกับรังสียูวีโดยตรง คุณแม่ควรดูสักนิดว่าการสวมเสื้อผ้าหรือหมวกเพื่อป้องกันแสงแดดนั้นจะทำให้ลูกร้อนอบอ้าวเกินไปหรือไม่นะคะ
มีของเล่นใหม่ ๆ มาอัพเดทค่ะ คราวนี้เป็นของเล่นทรายอันแสนมหัศจรรย์ที่คุณลูกต้องชอบ เด็ก ๆ สามารถสนุกกับการเล่นทรายมหัศจรรย์ Motion Sand กันได้ตามจินตนาการ ทรายมหัศจรรย์จาก USA นี้มีความพิเศษตรงไม่แห้งแล้วก็ไม่คืนรูปค่ะ เนื้อทรายยึดเกาะเป็นรูปร่างได้ดี ไม่เลอะมือหรือเสื้อผ้า ไม่ทำให้พื้นเป็นมันแบบดินน้ำมัน ส่วนจะฟุ้งกระจายแบบทรายมั้ย ขอตอบว่าไม่ค่ะ เพราะเค้ามองเห็นปัญหาการเล่นทรายอย่างหนึ่งก็คือมีโอกาสฟุ้งกระจายเข้าจมูกหรือเข้าตาเด็ก ถ้าเล่นทรายจริง ๆ คุณแม่ยังต้องมาเก็บกวาดผงทรายหลังลูกเล่นเสร็จ คุณลูกสามารถเล่น Motion Sand ในบ้าน สีทรายสวย ๆ ที่ลูกปั้นก็ไม่ติดมือ ปลอดกลิ่น ปลอดสารพิษ และไม่ต้องกังวลว่าจะมีแบคทีเรียสะสมในทราย ชุดทรายนี้มีให้เลือกหลายชุดพร้อมบล็อกพิมพ์ตามความชอบของเด็ก ๆ ชุดไดโนเสาร์ ชุดสัตว์ทะเล ชุดซาฟารี ชุดทำขนมเค้ก ฯลฯ นอกจากเด็กๆ จะได้สนุกเพลิดเพลินกับจินตนาการแล้ว การเล่นทรายยังเป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสการรับรู้ผิวสัมผัสที่แตกต่าง อีกทั้งยังได้ฝึกฝนกล้ามเนื้อมือให้มีพัฒนาการที่ดีด้วยค่ะ
คุณแม่ที่รักสะอาดฟังทางนี้ค่ะ ถึงแม้จะเป็นคุณแม่อนามัยจ๋าขนาดไหนก็ขอแนะนำว่า ควรปล่อยให้ลูกได้เล่นทรายนะคะ นักจิตวิทยาเด็กทั่วโลกกล่าวตรงกันว่าการเล่นทรายสำหรับเด็กแล้วมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาอย่างยิ่ง เรามาดูประโยชน์ทั้ง 7 ข้อของการเล่นทรายกันค่ะ 1.ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย ตอนลูกปั้นทราย ตักทรายเท กล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างกล้ามเนื้อมือได้ฝึกฝนออกแรงก็จะใช้งานได้คล่องแคล่ว กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างแขนและขาได้ออกแรง กะน้ำหนัก ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และการทำงานประสานกันระหว่างมือกับตา 2.กระตุ้นจินตนาการไร้ขอบเขต เนื่องจากทรายไม่มีขีดจำกัดของรุปทรง เด็กจึงสร้างสรรค์ได้ตามจินตนาการ ซึ่งนอกจากจะสร้างสรรค์เป็นอะไรก็ได้แล้ว ก็ยังทำได้หลายวิธี ลูกอาจจะก่อปราสาททรายก็จริง แต่อาจจะก่อด้วยการใช้รูปทรงหรือแม่พิมพ์ที่แตกต่างกันออกมาเป็นปราสาททรายรูปทรงต่าง ๆ ทรายยังเป็นของเล่นที่ไม่มีผิดหรือถูก ถ้าผิดก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ใหม่ 3.ช่วยให้ลูกได้ระบายความรู้สึก เด็กบางคนไม่ถนัดสื่อสารกับคนอื่น หรือไม่อยากบอกความรู้สึกของเขา การเล่นทรายช่วยให้เด็กได้ระยายอารมณ์ความรู้สึกออกมากับการปั้น การเล่นทรายยังช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย เด็กที่หงุดหงิดอารมณ์เสียการเล่นทรายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายอารมณ์ความโกรธของเด็กได้ 4.ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม เมื่อลูกได้เล่นทรายกับเด็กคนอื่นหรือเล่นทรายกับคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม จะช่วยให้ลูกเรียนรู้การเข้าสังคมผ่านการเล่น เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแบ่งปัน รอคอย แลกเปลี่ยน การช่วยเหลือกัน พูดคุย ลูกได้เรียนรู้วิธีการใช้เวลากับคนอื่นอย่างมีความสุข 5.ฝึกสมาธิจดจ่อ การเล่นทรายเด็กจะต้องคิดก่อนว่าต้องการปั้นทรายออกมาเป็นอะไร ซึ่งต้องใช้เวลาพยายามทำจนสำเร็จ ลูกจะต้องมีใจจดจ่อกับสิ่งตรงหน้า และเด็ก ๆ มักจะมีสมาธิจดจ่อได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับให้เขามีความตั้งใจ เพราะเด็กเพลิดเพลินกับการเล่นทรายด้วยตัวของเขาเอง ถ้ากลัวลูกติดแท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟนอาจหาของเล่นทรายมาให้ลูกเล่นที่บ้านก็ได้ค่ะ 6.ฝึกภาษา การเรียนเขียนอ่านในสมุดอาจเป็นเรื่องเคร่งเครียดสำหรับเด็ก การได้เปลี่ยนอะไรแปลกใหม่บ้างจะช่วยให้ลูกสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้นค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูกเล่นเขียนคำตัวโต…
จะหาอะไรให้เป็นของขวัญโดนใจคุณแม่คนใหม่ดีนะ แนะนำ 5 ไอเดียโดนใจค่ะ 1.น้ำหัวปลี เปลี่ยนจากเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาซื้อของฝากเป็นน้ำหัวปลีบ้างก็ดีค่ะ เพราะคุณแม่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ เพราะนอกจากจะไม่ต้องเตรียมหาเมนูหัวปลีเอง สามารถดื่มน้ำหัวปลีได้เลย ทั้งสะดวกและช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ได้ดีทีเดียวค่ะ *แนะนำ : น้ำหัวปลีผสมอินทผลัม Mommy Juicy อร่อยดื่มง่าย https://www.facebook.com/mommyjuicy/ 2.คาร์ซีท เหมาะกับคุณแม่ที่ออกนอกบ้านบ่อยหรือขับรถเอง คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดควรเลือกแบบที่หันหน้าไปทางด้านหลังของรถ เพื่อช่วยปกป้องกระดูกต้นคอในยามเกิดอุบัติเหตุค่ะ 3.กระเป๋าคุณแม่ จำเป็นต้องใช้แน่ค่ะ เพราะคุณแม่คนใหม่ต้องพกสัมภาระเบบี๋ติดตัวยามออกนอกบ้าน ถ้าไม่แน่ใจว่าคุณแม่ชอบแบบไหนเป็นพิเศษ เลือกแบบเรียบ ๆ สีกลาง ๆ ไว้ก่อนค่ะ 4.เสื้อให้นมลูก คุณแม่น่าจะชอบเพราะสะดวกเวลาให้นมลูกยามอยู่นอกบ้าน เช่นเดียวกันกับกระเป๋าค่ะเลือกสไตล์ที่คุณแม่ชอบถ้ารู้ใจกัน หรือแบบเรียบ ๆ สวมใส่ได้หลายโอกาส 5.ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแม่ลูก เช่น สบู่อาบน้ำเด็ก รับรองได้ใช้แน่ เลือกที่เหมาะกับเบบี๋ ไม่มีกลิ่นฉุน ไม่ระคายเคืองผิว หรือเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทออแกนิคก็ปลอดภัยสำหรับเด็กยิ่งขึ้นค่ะ
คุณแม่ที่มีน้ำนมมาน้อยไม่ต้องกังวลมากเกินไปว่าจะไม่มีน้ำนมให้ลูกค่ะ มีหลายวิธีกินอาหารเพื่อช่วยเพิ่มน้ำนมแม่มาแนะนำกันค่ะ 1.กินให้พอในแต่ละวัน กินอาหารในปริมาณพอเพียงกับร่างกายต้องการในช่วงให้นมลูกไม่ทนหิว ไม่อดหรือลดอาหารเพระอยากผอมโดยเฉพาะ 6 เดือนแรก กินอาหารครบหมวดหมู่ 2.กินอาหารเพิ่มน้ำนมแม่ อาหารเพิ่มน้ำนมแม่มีหลากหลายชนิด และยังหาได้ง่ายค่ะ เช่น หัวปลี อินทผลัม ฟักทอง ใบกระเพรา น้ำเต้า กระเทียม มะละกอ งาดำ ฯลฯ สามารถเลือกปรุงเป็นเมนูที่ชอบได้ไม่ยาก 3.ดื่มน้ำหัวปลี เดี๋ยวนี้สะดวกสบายขึ้นค่ะ คุณแม่ให้นมลูกสามารถหาน้ำหัวปลีดื่มได้ ไม่ต้องเตรียมหาอาหารเพิ่มน้ำนมแม่อยู่ตลอดเวลา ประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียวค่ะ บางยี่ห้อก็รสชาติอร่อยดื่มง่ายด้วยค่ะ *แนะนำ น้ำหัวปลีผสมอินทผลัม Mommy Juicy https://www.facebook.com/mommyjuicy/ 4.ดื่มน้ำให้พอเพียง การดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมพอสำหรับลูก ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินไป ประมาณ 6-8 แก้วก็พอเพียง สังเกตปัสสาวะ ถ้ามีสีเหลืองเข้มแสดงว่าคุณแม่ขาดน้ำ อย่าลืมดื่มน้ำเพิ่มกันนะคะ
คุณแม่คนใหม่มักกังวลใจว่าจะมีนมให้ลูกกินพอเพียงไหม ถ้าหากน้ำนมน้อยหรือไม่มีน้ำนมก็จะเกิดความเครียดและท้อแท้ อย่าเพิ่งยอมแพ้ค่ะ พยายามใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน ปรึกษาคุณหมอ ให้ลูกดูดบ่อย ๆ หรือปั๊มนมสม่ำเสมอ และมองหาตัวช่วยค่ะ มีอาหารหลายชนิดช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ได้ หัวปลีก็เป็นตัวช่วยที่ดีมากตัวหนึ่ง คุณแม่อาจจะสรรหาเมนูหัวปลีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมารับประทาน หรือถ้าหากไม่มีเวลามากนัก เพื่อความสะดวกและประหยัดเวลาคุณแม่สามารถหาน้ำหัวปลีมาดื่ม และยังหาซื้อได้ไม่ยากค่ะ ประโยชน์ของหัวปลี หัวปลีอุดมไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซี ฯลฯ หัวปลีเป็นอาหารชั้นดีสำหรับคุณแม่ ช่วยบำรุงน้ำนม บำรุงธาตุ บำรุงเลือด ช่วยให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล ดีต่อผู้ป่วยโลหิตจาง ดูแลฟันให้แข็งแรงและฟันขาวสะอาด ช่วยให้หน้าอกเต่งตึงไม่หย่อนยานค่ะ น้ำหัวปลีสะดวกสุด ๆ แน่นอนว่ามีอาหารหลายเมนูจากหัวปลีช่วยให้คุณแม่ไม่เบื่อ แต่ก็อาจจะหารับประทานไม่ได้บ่อยนัก ส่วนใหญ่อาจจะต้องเตรียมเอง น้ำหัวปลีเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับแม่ให้นมลูกค่ะ เพราะสะดวกและดื่มง่าย ต้องอร่อยดื่มง่ายนะ พอพูดถึงน้ำหัวปลีคุณแม่จะได้รสชาติไม่ออกใช่ไหมคะ ถ้ารสชาติแปลกประหลาดดื่มยากแล้วล่ะก็คุณแม่อาจไม่กล้าดื่ม ขอแนะนำว่า น้ำหัวปลีผสมอินทผลัมของ Mommy Juicy รสชาติอร่อยดื่มง่าย ไม่หวานจัด…