ช่วงหน้าฝนมีโรคที่คุณแม่ต้องระวังอีกโรคหนึ่ง นั่นก็คือโรค เฮอร์แปงไจนา (Herpangina) เรามาสังเกตอาการ วิธีป้องกันและวิธีการรักษากันค่ะ อาการชวนสงสัย มีไข้สูงประมาณ 39.5-40 องศาเซลเซียส มีแผลในปากอาจจะมีตุ่มแดงหรือแผลเปื่อยบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ต่อมทอนซิล และในคอ มีอาการเจ็บคอ บางรายอาจมีอาการไข้เฉียบพลันหรือมีไข้สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดคอ คอบวม ปวดท้อง เบื่ออาหาร อาจมีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง เบ้าตาลึกลง ปัสสาวะน้อยหรือสีเข้ม ฯลฯ เด็กทารกอาจมีอาการน้ำลายยืดหรืออาเจียน ถ้ามีอาการไข้ 3 วันแล้วยังไม่ลด ลูกซึมหรืออาการแย่ลงควรรีบพาไปพบคุณหมอค่ะ ไม่ต้องตกใจจนเกินไป เฮอร์แปงไจนาเป็นโรคที่ติดเชื้อในกลุ่มเอนเตอโรไวรัส (Enterovirus) โดยทั่วไปแล้วโรคนี้ไม่ใช่โรคที่รุนแรงมาก เมื่อเป็นแล้วอาจหายเองได้ภายในราว 7 วัน แต่คุณพ่อคุณแม่คอยระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น มีอาการหายใจหอบ อาการชัก หรือเจ็บคอจนลูกกินอาหารไม่ลงอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและอาหาร ฯลฯ ติดโรคนี้มาจากไหน ? เด็กเล็กมีภูมิต้านทานค่อนข้างน้อย จึงรับเชื้อมาจากเสมหะ น้ำมูก…
เด็ก 3 ขวบขึ้นไป
RSV เป็นชื่อย่อของ Respiratory Syncytial Virus เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ มักพบระบาดในช่วงหน้าฝนหรือช่วงที่มีอากาศชื้นค่ะ RSV กับไข้หวัดมีอาการค่อนข้างคล้ายกัน เมื่อป่วยลูกจะมีอาการไข้ ไอ และน้ำมูก แต่ปริมาณของเสมหะและน้ำมูกมีปริมาณมาก ทำให้เกิดการเหนื่อยหอบได้จากเสมหะและอาจมีการติดเชื้อในปอดหรือปอดติดเชื้อ เด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบมีโอกาสติดเชื้อ RSV ได้ง่าย และเด็กเล็กมีโอกาสมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อ ควรพาลูกพบคุณหมอถ้าลูกมีไข้สูง ไอมีเสมหะมาก ๆ หายใจครืดคราด หายใจมีอกบุ๋ม หายใจเร็วหรือแรงกว่าปกติ หรืออาการตัวเขียว ถ้าอาการไม่หนักหนาถึงกับนอนโรงพยาบาล ก็รักษาไปตามอาการค่ะ มีไข้คุณหมอจะให้ยาลดไข้ คุณแม่คอยเช็ดตัวเป็นระยะเพื่อป้องกันไข้สูงและอาการชัก ถ้ามีอาการไอทานยาแก้ไอตามแพทย์สั่ง รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ เป็นอาการอ่อน ๆ หลีกเลี่ยงของทอดของมันที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการไอ ดื่มน้ำอุ่น ๆ หลีกเลี่ยงของเย็น เพื่อลดการระคายคอและละลายเสมหะให้น้อยลง วิธีป้องกัน ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค RSV วิธีการป้องกันเท่าที่ทำได้ในเวลานี้คือการหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกใกล้ชิดกับผู้ป่วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หลีกเลี่ยงการพาลูกไปที่ชุมชน หรือบริเวณที่มีคนมาก ๆ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ทั้งคุณลูกและคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ ข้อมูลจาก : พญ.ศุภธิดา ตันศิริ กุมารแพทย์…
ช่วงฝนตกอย่างนี้ นอกจากโรคภัยไข้เจ็บที่มากับฤดูกาลอย่างไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือ RSV ฯลฯ แล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังสัตว์มีพิษกัดต่อยลูกด้วยค่ะ เพราะสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้อย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ อาจหนีน้ำเข้ามาอาศัยอยู่ภายในบ้าน วิธีป้องกัน เก็บกวาดบ้านให้เป็นระเบียบ หมั่นตรวจตามซอกหรือมุมอับและบริเวณอับชื้นภายในบ้า หมั่นตรวจดูภายในตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า ผ้าเช็ดเท้า เก็บรองเท้าให้มิดชิด ก่อนให้ลูกสวมเสื้อผ้าหรือรองเท้าควรตรวจดูก่อน ถ้าลูกโตพอช่วยเหลือตัวเองได้สอนให้เขาตรวจเช็กก่อนสวมใส่ โรยกำมะถัน ปูนขาว โรยผงป้องกันแมลง ผงอบเชย ผงขมิ้น หรือของที่มีกลิ่นฉุน เช่น มะกรูด ตะไคร้ วางรอบบ้าน อุดรูรั่วรอยแตกในบ้าน และตรวจดูท่อน้ำ ฯลฯ ถ้าพบสัตว์มีพิษ ให้ตั้งสติ ถ้ากักขังให้อยู่ในบริเวณจำกัดได้ให้ทำ และโทรขอความช่วยเหลือเบอร์ฉุกเฉิน 1669 1784 หรือ 1137 ถ้าถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย …
คุณแม่ทราบไหมคะว่าการที่เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดนั้นทางหนึ่งก็คือให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงได้เล่นเองได้ลองเองด้วยทำเองบวกกับการที่เขาซึมซับไปจากคุณแม่นั่นเอง การให้เขาได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมพิเศษหรือไกลบ้านมาก ก็สามารถกระตุ้นการเรียนรู้ให้ลูกได้ เพราะฉะนั้นคราวนี้เราจะพาลูกไปจ่ายตลาดกันค่ะ คุยกับเขาและสร้างบรรยากาศสนุกสนานช่วยได้ คุณแม่อาจเกริ่นกับเขาก่อนก็ได้ค่ะในตลาดมีอะไรบ้าง กับข้าวที่คุณแม่ทำหรือซื้อมาหลายอย่างก็มาจากการซื้อวัตถุดิบมาจากตลาดนี่ละ สอนลูกให้รู้จักวางแผน หลังจากบอกลูกแล้วว่าพรุ่งนี้เราจะไปตลาดกันก่อนหน้านั้น 1 วันคุณแม่อาจถามลูกว่าเราจะกินอะไรกันดี ให้เขาคิดเมนูที่เขาชอบ ให้มีส่วนร่วมในการคิดตั้งแต่ต้น คุณแม่อาจจดรายการ ให้ลูกวาดภาพประกอบเพื่อความสนุกสนาน หรืออาจจะชวนคิดวางแผนเช่น ถ้าเขาอยากได้ 5 เมนู คุณแม่อาจคุยกับเขาว่าน่าจะมากเกินไป ขอแค่ 3 เมนู ให้เขาเลือกว่าเขาจะตัดเมนูไหนออกค่ะ สอนเรื่องงบประมาณ การออกไปจ่ายตลาดคุณแม่กำหนดจำนวนเงินโดยประมาณว่าจะใช้ประมาณเท่าไหร่ แล้วก็บอกให้ลูกรู้ว่าเราจะซื้อไม่เกินงบเท่านี้นะ สอนให้ลูกรู้ว่าเงินทองมีจำกัดจำเป็นต้องใช้อย่างเหมาะสม แต่ละครั้งที่ไปซื้อขอฃจึงต้องตั้งงบขึ้นมา อธิบายให้ลูกฟังง่าย ๆ ไม่ต้องซับซ้อน ในตลาดมีสิ่งน่าเรียนรู้มากมาย ลูกจะได้ทำความรู้จักกับผักผลไม้เนื้อสัตว์และเครื่องปรุงต่างๆ ไม่ต้องให้เป็นวิชาการค่ะ พาเขาไปเลือกซื้ออาจจะบอกบางอย่างว่าสิ่งที่คุณแม่ซื้อคืออะไร ชวนคุยและลูกสนใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม อาจจะพูดถึงผักหรือผลไม้ชนิดนั้น ระหว่างที่คุณแม่ซักถามราคากับแม่ค้าก็หันมาพูดคุยกับลูกได้ เช่น อันนี้ราคาเท่านี้นะคะ อาจชวนลูกนับเงินทอน หรือให้ลูกเปรียบเทียบดูว่าผลไม้ลูกไหนที่ดูน่ากินกว่ากัน กิจกรรมต่อท้าย คุณแม่ชวนลูกเป็นลูกมือทำกับข้าว ล้างผัก เด็ดผัก จัดผักผลไม้ใส่จาน ชมเขาซะหน่อยว่าผักหรือผลไม้ที่เขาช่วยเลือกสดน่ารับประทานเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับเขา หรืออาจจะชวนเขาวาดรูปผักผลไม้ที่เขาชอบ ให้ลูกรู้สึกว่าเป็นเกมอย่างหนึ่งที่เขาอยากเล่น…
คุณแม่หลายคนเจอปัญหาลูกอมข้าว ส่วนใหญ่อมเสร็จคายทิ้ง ทำบ่อยอาจขาดอาหาร คุณแม่อย่าเพิ่งกังวลใจปัญหานี้มีทางแก้ค่ะ 1.ปรับอาหารให้เหมาะกับวัย ช่วงเริ่มกินอาหารใหม่ ๆ นอกจากนมคุณแม่บดอาหารละเอียดก่อน ต่อมาค่อยปรับเป็นอาหารชิ้นใหญ่ขึ้น จากบดละเอียดเป็นสับหยาบและหั่นชิ้นเล็ก ลูกมีฟันขึ้นแล้วอย่าให้แต่อาหารบดละเอียดอีก ถ้าลูกไม่ได้ฝึกเคี้ยวก็จะเคยชินกับการกลืน และอาจติดเป็นิสัยเพราะกินง่าย 2.อย่าให้นมแทนข้าว เวลาลูกอมข้าวคุณแม่อาจกังวลว่าลูกจะไม่โต ให้กินนมแทนดีกว่าไม่ได้กินอะไร นั่นเท่ากับคุณแม่กำลังฝึกให้ลูกกินนมแทนข้าว อย่าเพิ่งใจอ่อนตามใจ ให้ได้บ้างนิดหน่อยแต่อย่ามากจนอิ่ม 3.ไม่เล่นระหว่างกินข้าว ให้ลูกมุ่งความสนใจไปที่การกินอาหาร กินไปเล่นไปเด็กจะสนใจการเล่น เวลาลูกกินทุกคำที่ป้อนโดยไม่รู้ตัวเหมือนจะดี แต่ก็จะลืมเคี้ยว 4.ไม่ให้ดูโทรทัศน์ใช้แทบเล็ตหรือมือถือระหว่างกินข้าว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะดึงดูดความสนใจของลูกออกไปจากการกิน 5.ชวนลูกให้สนใจการกิน อาจจะชวนคุยให้ลูกอารมณ์ดี หรือพูดคุยเกี่ยวกับอาหารเช่น อาจจะถามลูกว่าพรุ่งนี้ลูกอยากกินอะไร ชวนให้เขามีส่วนร่วมในการทำอาหารก็จะช่วยให้เขาสนใจการกิน 6.อย่าใช้เวลานานเกินไป ไม่เกินครึ่งชั่วโมง การพยายามให้ลูกกินหมดชามคุณแม่อาจเข้าใจว่าภารกิจประสบความสำเร็จ แต่ความจริงแล้วทำให้ลูกไม่มีวินัยในการกิน 7.จัดเวลามื้อของว่างให้เหมาะ ระหว่างมื้อ ลูกหิวขึ้นมาขอนมหรือขนมคุณแม่กลัวลูกหิวก็มักจะให้กิน ให้กินได้แต่ไม่ต้องมากจนอิ่มเกินไป และไม่ควรให้กินใกล้เวลาอาหาร ถ้าลูกอมข้าวน้อยลงอย่าลืมชมนะคะ เขาจะได้มีกำลังใจและรู้สึกภูมิใจค่ะ
ปัญหาลูกชอบทะเลาะกันมีวิธีแก้ไขหลายวิธีค่ะ คุณแม่สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใจเย็นค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปค่ะ 1.ใช้ความยุติธรรม อย่าอคติกับลูก และเมื่อสอนให้พี่เสียสละให้น้องก็ต้องสอนให้น้องรู้จักเสียสละให้พี่เช่นกัน 2.อย่าถามหาคนผิด หรือรีบตัดสินว่าพี่หรือน้องผิดอยู่เสมอ การหาคนผิดทำให้ลูกไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด อาจตั้งกติกาในบ้าน เช่น กำหนดไปเลยว่าของเล่นไหนเป็นของรักของหวงของแต่ละคน มีสิทธิ์ไม่ให้เล่น หรือเก็บให้ดี ต้องเคารพขอบเขตซึ่งกันและกัน 3.บอกให้ลูกรู้ว่าแม่มีความสุขเวลาเห็นลูกรักกัน อาจจะพูดตรงจุด เช่น ไม่แย่งของเล่น ไม่แกล้งกัน หรือเมื่อเล่าเรื่องหรือเล่านิทานให้ลูกฟังก็ชื่นชมพฤติกรรมดีของตัวละครในนิทาน 4.เบี่ยงเบนความสนใจ ชวนลูกไปทำอย่างอื่นจนลืมการทะเลาะกัน อาจจะแยกลูกแต่ละออกจากกันให้ไปสงบใจก่อน แต่ไม่ใช่ทอดทิ้งใครคนใดคนหนึ่ง 5.หากิจกรรมที่ทำร่วมกันโดยใช้ความร่วมมือจึงสำเร็จ เลี่ยงการแข่งขัน หรือเปรียบเทียบ ถ้าจะแข่งขันอาจจะให้เขาอยู่ในทีมเดียวกันแล้วมาแข่งขันกับคุณพ่อคุณแม่แทนค่ะ 6.ให้ออกกำลังกายหรือเล่นซนได้เต็มที่ พาลูกเล่นให้ใช้พลังงานหมดไปบ้าง เหนื่อยแล้วก็จะไม่มีแรงเหลือมาทะเลาะกันบ่อยนัก เพราะแต่ละคนอยากพักมากกว่า 7.ชมเชยเวลาลูก ๆ สามัคคีกัน เช่น เวลาคุณพ่อคุณแม่ให้ช่วยทำงานบ้าน หรือช่วยกันเก็บของเล่น เขาช่วยกันทำได้เรียบร้อย ก็ให้ชมทั้งคู่ และอาจให้รางวัลกับลูก ค่อย ๆ ปรับเขาค่ะ ลูกทะเลาะกันน้อยลงรักกันมากขึ้นบรรยากาศบ้านแสนสุขก็จะกลับมาค่ะ
อาหารว่าง คือ อาหารมื้อเล็กระหว่างมื้อแต่สำคัญนะคะ เด็ก ๆ ใช้พลังทำกิจกรรมสารพัด อาหารว่างช่วยเสริมการสร้างพลังงานให้ร่างกายและสมอง รวมทั้งเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ลูกด้วย 1.ของหวาน เน้นผลไม้ให้มากกว่าขนม ถ้าเป็นขนมควรมีส่วนผสมของนม ไข่ หรือผลไม้ เลือกรสชาติที่ไม่หวานจัด ไม่ใช้แป้งหรือน้ำตาลมาก 2.เครื่องดื่ม น้ำผลไม้สด นม ให้ประโยชน์มากกว่าน้ำอัดลมหรือน้ำหวานที่ทำให้ลูกอ้วน 3.โปรตีน อาหารว่างที่กินง่าย เช่น สาคูไส้หมู ขนมปังหน้าหมู ขนมจีบ ซาลาเปา สลัด กระเพาะปลา แซนด์วิชอาจทำไส้ไก่ ไข่ ปลาทูน่า หมูหยอง สลับบ้างไม่ควรให้กินพวกไส้กรอกหรือแฮมมากเกินไป 4.ของว่างจากถั่ว เพื่อเพิ่มโปรตีน ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และถั่วก็เป็นอาหารที่เด็กกินได้ง่าย เช่น ถั่วลิสงเคลือบน้ำตาลเนยที่ไม่หวานมาก ขนมเม็ดขนุนหรือลูกชุบที่ทำจากถั่ว หรือถั่วต้มน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ขนมถั่วแปบ และเต้าส่วน ฯลฯ เวลาเหมาะสำหรับของว่าง เวลาที่เหมาะกับการกินของว่างโดยทั่วไปช่วงเช้าประมาณ 9.30 -…
วันหยุดช่วงปิดเทอมเด็ก ๆ ได้เที่ยวหรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ บางครั้งลูกซุกซนไม่รู้ถึงภัยอันตรายใกล้ตัว คุณแม่ควรระวังเรื่องความปลอดภัยด้วยค่ะ จุดเสี่ยงมีอะไรบ้าง 1.คลอง บึง สระน้ำ เป็นสถานที่เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตบ่อยในเด็กเล็กกและเด็กโตของบ้านเรา พบว่าเด็กอายุระหว่าง 5-6 ปี มักจมน้ำเสียชีวิตจากบ่อ หนอง คลอง บึง และสระว่ายน้ำในชุมชนหรือหมู่บ้าน และเกิดจากการไปวิ่งเล่นบริเวณใกล้แหล่งน้ำแล้วพลัดตกและจมน้ำ 2.ยานพาหนะ ข้อมูลเด็กที่เสียชีวิตจากการจราจรโดยเฉพาะช่วงปิดเทอมยอดพุ่งเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการรถจักรยานยนต์ สาเหตุที่พบคือการให้เด็กนั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์ หรือแม้แต่การให้ขับขี่เอง 3.นอกบ้าน สถานที่ เช่น ห้างสรรพสินค้าฯ ร้านเกม คือสถานที่ที่มีเด็กพลัดหลงหรือหาย และถูกลักพาตัวเป็นอันดับต้น ๆ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรปล่อยลูกอยู่ตามลำพัง และสอนลูกเรียนรู้เรื่องคนแปลกหน้า การช่วยเหลือตัวเองในกรณีพลัดหลง เป็นต้น 4.ในบ้าน บ้านไหนมีเด็กวัยซนต้องใส่ใจให้มาก ในจุดเสี่ยงเหล่านี้ เช่น ระเบียงบ้าน บานหน้าต่างห้อง บันได ห้องครัว ควรกั้นไม่ให้เข้าถึง รวมทั้งปลั๊กไฟ อุปกรณ์อันตราย…
เด็กอ้วนอาจดูน่ารักในสายตาผู้ใหญ่ แต่ความจริงแล้วเด็กที่น้ำหนักเกินหรืออ้วนท้วนสมบูรณ์จนมากเกินไปมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคซึ่งหลายโรคมีความอันตราย ทำร้ายสุขภาพลูกรักของเราค่ะ เด็กอ้วนเสี่ยงโรคอะไรบ้าง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองตีบ นอนกรนมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ความผิดปกติของกระดูกและข้อ ตับและถุงน้ำดีอักเสบ โรคผิวหนัง จากเชื้อรา และผิวหนังอักเสบ ขาดความมั่นใจและปัญหาการเข้าสังคม ป้องกันโรคอ้วนมาเยือนลูก ควบคุมปริมาณอาหาร ไม่ปล่อยตามใจลูก เลี่ยงอาหารไขมันสูง แป้งแปรรูป เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง พาสต้น ฯลฯ เพิ่มผักและผลไม้รสไม่หวานจัด เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน กินแป้งจากข้าว เพิ่มแป้งไม่ขัดขาว และธัญพืช ลดการนั่ง ๆ นอน ๆ ของลูก ชวนลูกให้เล่นสนุกกับการออกกำลังกาย เช่น วิ่ง เล่นฟุตบอล บาสเกตบอล เทนนิส แบดมินตัน ว่ายน้ำ เต้นรำ ฯลฯ ให้ลูกฝึกความแข็งแรงของร่างกายและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายเพื่อลดการบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย ให้ลูกช่วยทำงานบ้าน เช่น ช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้าน…
การออกกำลังกายดีต่อทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะเด็กอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินค่ะ มาดูกันว่าประโยชน์ของการออกกำลังกายในวัยกำลังเจริญเติบโตมีอะไรบ้าง เพิ่มการสร้างมวลกระดูก ทำให้กระดูกเจริญเติบโต ซึ่งมีผลต่อความสูง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พัฒนาระบบประสาทสั่งการการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบหัวใจ และหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมน้ำหนักตัว ช่วยส่งเสริมสุขภาพกายใจให้แข็งแรง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายกับ พ่อ แม่ เพื่อนๆ เด็กในวัยเดียว หรือวัยใกล้เคียงกัน จะทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพราะได้มีสังคม อารมณ์แจ่มใส มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก