ถึงแม้ว่าชื่อของไวรัสเมิร์สคอฟ จะยังเป็นชื่อแปลกและใหม่สำหรับคนไทยหลายๆ คน แต่สำหรับในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ก็ได้เสียน้ำตาให้กับมันไปแล้วนักต่อนัก เพราะมันคือไวรัสตัวร้าย ที่ใครๆ ก็ต่างกลัว โดยเฉพาะกับเด็ก เพราะได้รับการประกาศศักดาออกมาแล้วว่า มันคือไวรัส ที่ยังไม่มียาสักตัว ที่สามารถขจัดมันได้ ฟังแล้วก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่ามันจะยังเดินมาไม่ถึงประเทศไทยของเราก็เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้จะดีกว่านะทุกคน ไวรัสเมิร์สคอฟ มาจากไหน ไวรัสเมิร์สคอฟ หรือโรคไข้หวัดอูฐ เป็นโรคที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบตะวันออกกลาง โดยพบเชื้อนี้ได้โดยตรงในค้างคาวและเลือดอูฐ ซึ่งอาศัยการติดต่อกันได้ผ่านคนสู่คนทางน้ำลายและน้ำมูก ซึ่งอาการนั้น หลายๆ คนมักแยกไม่ออกระหว่างอาการไข้หวัดธรรมดากับไข้หวัดอูฐ ทำให้มันถูกขนานนามว่าเป็นโรคที่น่ากลัวโรคหนึ่งเลยล่ะ เพราะเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วนั้น จะนำไปซึ่งการเสียชีวิตได้มากถึง 70% เพราะยังไม่มียาตัวใดเอามันอยู่นั่นเอง จะสังเกตตัวเองยังไง เมื่อรู้ว่าเป็นโรคไข้หวัดอูฐ อาการของไข้หวัดอูฐ ในช่วงแรกๆ มักมีอาการคล้ายๆ เป็นโรคไข้หวัด จากนั้นจะเริ่มมีการไข้สูง หายใจหอบ หายใจติดขัด และติดต่อได้ง่ายมากๆ ผ่านการไอและจาม และเมื่อไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการไม่ทัน ก็จะเป็นหนักขึ้น จนเชื้อกระจายเข้าสู่ปอด ไตวาย เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและเสียชีวิตลงในทันที ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อนี้ได้ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง…
เด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบ
เปิดเทอมไปสักพักหนึ่งแล้วคุณลูกยังป่วนอยู่หรือเปล่าคะ อะไรก็ตามพอทิ้งไปนานเข้าก็กลายเป็นเรื่องยาก จึงเป็นธรรมดาที่ลูกจะดื้อและป่วนในช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ เพราะเคยอิสระมานาน หมดช่วงเวลาแห่งความสนุกต้องมาตื่นแต่เช้า ไปเรียนหนังสือ แม่ ๆ มาหาวิธีรับมือกันค่ะ 1.ให้ลูกนอนแต่หัวค่ำ บ้านไหนฝึกลูกให้นอนหัวค่ำตลอดจะช่วยได้มาก ลูกจะตื่นเช้าโดยไม่อิดออดเพราะได้นอนครบ 10 ชั่วโมงเต็ม ๆ โดยประมาณตามวัยของเขา 2.สร้างบรรยากาศการไปโรงเรียนให้สดชื่น เลี่ยงการดุหรือบ่นลูก อาจจะเตรียมมื้อเช้าเมนูโปรด หรือบอกลูกว่าหลังเลิกเรียนจะชวนเขาทำกิจกรรมที่ชอบ 3.ช่วยดูแลจัดกระเป๋านักเรียน ทำให้กิจกรรมนี้เป็นเรื่องสนุกร่วมกัน ช่วยดูแลการบ้านเพื่อช่วยลดความเครียดให้เขา 4.หลังเลิกเรียนให้ลูกได้กลับมาพักผ่อนเร็ว ๆ ได้ทำกิจกรรมที่เขาชอบ หลังจากพักหายเหนื่อยชวนเขาขี่จักรยาน เล่นบอล หรือทำกิจกรรมที่ได้ออกกำลังกาย 5.ในช่วงแรกอาจเพิ่มสิทธิพิเศษบางอย่างให้ลูก เช่นให้เล่นได้นานหน่อย ได้กินขนมหรือของเล่นที่เขาชอบบ้าง แต่ต้องมีขอบเขตไม่ให้ต่างจากข้อกำหนดเดิมมากเกินไป ช่วงแรก ๆ นี้คุณแม่อย่าเพิ่งเป๊ะมาก ลดความเคร่งครัดในสิ่งที่ลูก “ต้อง” ทำลงสักนิด รอเขาปรับตัวได้ค่อยว่ากันค่ะ
การเล่นสำหรับเด็กแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่งค่ะ เพราะพัฒนาการทั้งทางร่างกายจิตใจและสติปัญญาของลูกล้วนผ่านการเล่นของเขา เด็กต้องการความรักความเอาใจใส่ คุณพ่อคุณแม่สามารถเล่นกับลูกได้ตั้งแต่แรกเกิด การเล่นกับลูกบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านต่าง ๆ หลายด้าน คุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกด้วยวิธีการเล่นแบบง่าย ๆ เช่น ยิ้มให้ลูก พูดคุย เล่นจ๊ะเอ๋ อุ้มเล่านิทาน ร้องเพลงให้ลูกฟัง หรือหาของเล่นที่เหมาะสมกับวัยมาเล่นกับเขา 1.พัฒนาการทางสายตา เด็กเล็กแรกเกิดมองเห็นแค่ระยะสั้น การเห็นใบหน้าแม่ใกล้ชิดลูกจะได้ฝึกสายตา 2.กระตุ้นพัฒนาการทางร่างกาย มือลูกได้จับคว้า แขนขาเคลื่อนไหวขณะเล่น 3.ช่วยพัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์ ขณะเล่นลูกกำลังฝึกฝนการใช้ความคิดและเหตุผล และเมื่อลูกสนุกเขาจะเป็นเด็กอารมณ์ดีมีความสุขสมองพร้อมเรียนรู้ 4.ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก เกิดความรักความผูกพันใกล้ชิด 5.ช่วยกระตุ้นความจำ จดจำใบหน้าคุณพ่อคุณแม่คนในครอบครัว จดจำสิ่งของได้ 6.กระตุ้นพัฒนาการด้านภาษา คุณพ่อคุณแม่ที่พูดคุยกับลูกบ่อยลูกจะเรียนรู้ด้านภาษาได้เร็ว เพิ่มคำศัพท์ได้มาก 7.กระตุ้นพัฒนาการทางสังคม ลูกเรียนรู้ว่าจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบแบบไหนกับคนอื่น ดูลูกอารมณ์ลูกสักนิดว่าเขาพร้อมมั้ย ถ้าพร้อมหน้าตาลูกจะสดใสคึกคัก ถ้าง่วงเหนื่อยหรืออารมณ์ไม่ดีควรให้เขาพักหรือปลอบโยน อารมณ์ดีค่อยชวนเขาเล่นค่ะ
การเรียนรู้โลกรอบตัวเกิดของเด็กจากการเล่นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการมอง การใช้มือไขว่คว้า คืบคลานเพื่อเข้าหาสิ่งที่ต้องการ การเอื้อมมือหยิบจับ เตะถีบขาน้อย ๆ ของเขา ในวัยทารกจนถึงช่วงขวบปีแรกจะมีของเล่นชนิดใดบ้างที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้ดีเรามาดูกันเลยค่ะ ของเล่นมีสีสันสดใส สีสด ๆ จะกระตุ้นการมองเห็นของเด็กได้ดี ช่วงเดือนแรก ๆ เด็กจะเห็นสีขาวดำชัดเจนที่สุดคุณพ่อคุณแม่อาจหาโมบายล์สีขาวดำแขวนไว้เหนือเตียงของลูก ของเล่นมีเสียง หรือเมื่อลูกจับ ตี เขย่าแล้วมีเสียงจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการฟัง การไขว่คว้าของลูกจะเป็นการฝึกฝนการทำงานระหว่างมือกับตาร่วมกัน ของเล่นที่มีผิวสัมผัสหลายแบบ จะช่วยเสริมพัฒนาการด้านสัมผัสให้ลูกเรียนรู้ว่าสิ่งของแต่ละอย่างมีผิวสัมผัสแตกต่างกัน อาจเป็นของเล่น ตุ๊กตานุ่มนิ่ม ลูกบอล บล็อกไม้ และของเล่นลอยน้ำช่วยการเรียนรู้ผิวสัมผัสของน้ำ หรือหาของในบ้านที่คุณพ่อคุณแม่มั่นใจว่าปลอดภัยให้ลูกสัมผัสได้ หนังสือนิทานที่เหมาะกับวัย ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน เสริมการเรียนรู้ด้านภาษาเพิ่มคำศัพท์ และยังเสริมสร้างจินตนาการให้ลูก กล่องใส่ชิ้นรูปทรง ให้ลูกเรียนรู้รูปทรงต่าง ๆ ทั้ง กลม สี่หลี่ยม สามเหลี่ยม แบน ฯลฯ ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปทรงจะเป็นการปูพื้นฐานการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์และเรขาคณิตให้ลูกค่ะ น่ารู้ การเล่นกับลูกช่วยเสริมพัฒนาการได้ดีที่สุด อย่าทิ้งลูกไว้กับของเล่นเท่านั้น เพราะจะไม่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการสื่อสาร สังคม และด้านความสัมพันธ์ ไม่จำเป็นต้องเล่นกับลูกตลอดเวลาถ้าเขากำลังเพลิดเพลินอยู่คนเดียวสามารถปล่อยเขาได้ คุณแม่คอยดูอยู่ก็พอค่ะ
ลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไปคุณแม่สามารถให้ลูกเริ่มหม่ำอาหารเสริมเพิ่มเติมจากการกินนม พออายุประมาณ 7 เดือนก็ลองให้เริ่มเนื้อสัตว์ ลูกช่วงวัยนี้ต้องการอาหารเพิ่มพลังขึ้นอย่างโปรตีน แต่ก่อนจะทำเมนูเนื้อสัตว์ให้ลูกหม่ำ มีข้อแนะนำมาฝากค่ะ อาหารมื้อแรก ๆ ที่ลูกได้ลองชิมควรเริ่มจากข้าว ตามด้วยผัก และเนื้อสัตว์ การให้อาหารแต่ละชนิด ควรเริ่มจากทีละน้อย เช่น 1 ช้อนก่อน ค่อย ๆ เพิ่มเพื่อป้องกันการแพ้ ควรเริ่มที่เนื้อสัตว์ย่อยง่ายและบดง่ายอย่างเนื้อปลาก่อน ถัดไปค่อยเป็น เนื้อไก่ และหมู เลือกปลาน้ำจืดก่อนเพื่อป้องกันลูกแพ้ บดหรือสับละเอียด ทำทีละน้อยไม่ควรค้างคืน เลือกก้างหรือกระดูกและหนังออกให้หมด เนื้อปลาใช้มือล้างสะอาดแล้วบี้ดูว่ามีก้างหลงเหลือ สังเกตดูอาการลูกว่าแพ้อาหารหรือไม่ เช่น ผื่นขึ้น ท้องเสีย หายใจไม่สะดวก มีเสียงครืดคราด ฯลฯไม่ยุ่งยากเลยใช่มั้ยคะ เพียงแค่ใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆเท่านั้นเองค่ะ
หน้าฝนแวะเวียนมาทีไร คุณแม่มักจะเป็นกังวลกับสุขภาพของลูกน้อยเป็นพิเศษ มีเรื่องใดต้องระวังบ้างมาดูกันเลยค่ะ 1.หวัด เด็กเล็กมีโอกาสเป็นหวัดง่าย ไอ มีน้ำมูก หายใจครืดคราดอยู่บ่อย ๆ การให้ลูกดื่มน้ำหรือนมมากขึ้นช่วยได้ ถ้าไม่ได้มีน้ำมูกมากควรหลีกเลี่ยงการกินยาค่ะ วิธีลดน้ำมูก แม้ว่าภายในรูจมูกของลูกเป็นส่วนที่บอบบาง ไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปสัมผัส แต่หากมีความจำเป็นควรดูแลอย่างถูกวิธี เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน อาจใช้ก้านสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดภายในรูจมูก แต่อย่าเข้าไปลึกเพราะอาจเป็นอันตรายได้ เด็กที่โตหน่อย ใช้ลูกยางดูดน้ำมูก โดยทำความสะอาดลูกยางด้วยน้ำและสบู่ บีบน้ำออกให้หมด เวลาใช้บีบกระเปาะยางให้แบนแล้วสอดเข้าไปในรูจมูกแล้วค่อย ๆ คลายมือที่บีบออกเบา ๆ เพื่อดูดน้ำมูก ใช้เสร็จแล้วควรทำความสะอาดและผึ่งลมให้แห้ง 2.ผดผื่นตอแย เชื้อโรคมักเติบโตได้ดีในอากาศอับชื้นนำมาสู่ปัญหาผดผื่นได้ ดูแลและป้องกัน ดูแลของใช้ลูก อย่างผ้าอ้อม เสื้อผ้า หรือผ้าห่มไม่ให้อับชื้น ก่อนเก็บผ้าให้จับดูว่าส่วนไหนยังชื้นอยู่ควรตากแดดให้แห้งหรือรีดให้หายชื้น ถ้าใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปต้องหมั่นเปลี่ยนเสมอ เพราะมีโอกาสทำให้เกิดผดผื่นได้มากกว่าผ้าอ้อมผ้า ถ้าลูกคันทาคาลามายน์เพื่อช่วยบรรเทา อย่าให้เกาเด็ดขาด ถ้ามีทีท่าว่าจะลามไม่หยุด ควรไปพบคุณหมอ 3. แมลง กัด ต่อย …
คุณแม่มักมีความสุขที่เห็นลูกกินได้ แต่ดีใจได้ไม่เท่าไหร่ก็มานั่งกลุ้มเพราะของที่ลูกกินมีแต่ขนมกรุบกรอบ ลูกอม ช็อกโกแลต เยลลี่ คุกกี้ ขนมเค้ก ไอศกรีม ฯลฯ ที่มีแต่แป้ง ไขมัน น้ำตาล เกลือที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคสารพัด แล้วจะทำอย่างไรดีลูกกินแต่ขนม เรามี 5 วิธีแก้ไขมาฝากค่ะ 1.จัดสรรเวลา ควรจัดสรรเวลาอาหารของลูก ไม่ควรให้ลูกกินขนมก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ลูกอิ่มจนไม่อยากกินข้าว 2.จัดปริมาณ ไม่ปล่อยให้ลูกกินขนมไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะอย่างละนิดอย่างละหน่อยก็ตาม ตกลงกับลูกว่าสามารถกินขนมในปริมาณมากน้อยแค่ไหน 3.จัดผลไม้แทนขนม ไม่ควรมีขนมเก็บไว้ในบ้านมากเกินไป เตรียมของว่างที่มีประโยชน์หรือผลไม้ไว้แทนขนมจะดีต่อสุขภาพของลูกมากกว่า 4.จัดให้นาน ๆ ครั้ง สำหรับเด็กที่เคยติดใจในรสชาติขนมไปแล้ว การห้ามกินขนมค่อนข้างทำร้ายจิตใจเด็ก ให้ลูกกินได้ในปริมาณที่เหมาะสม หรือกินบ้างนาน ๆ ครั้ง 5.จัดพฤติกรรมของพ่อแม่ คุณพ่อคุณแม่ควรทำตัวเป็นต้นแบบที่ดีในเรื่องการกิน ทั้งไม่กิน และไม่ซื้อแต่ขนม แต่เลือกกินของที่มีประโยชน์ พยายามสร้างความคุ้นเคยในการกินอาหารที่มีประโยชน์ตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อสุขภาพของลูกค่ะ
การนอน เป็นสิ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเบบี๋ ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสมอง ค่ะ การนอนกรนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่บางกรณีอาจเป็นอันตรายได้ค่ะ แล้วลูกเรานอนกรนหรือเปล่า ถ้ายังไม่แน่ใจ ควรสังเกตการนอนของลูก ดูว่านอนกรนหรือไม่ เพราะจากการศึกษาพบว่า 20 % ของเด็กมีอาการนอนกรน โดย 7 - 10 % มีอาการนอนกรนทุกคืน เด็กหลายคนนอนกรนแต่ก็มีสุขภาพดี แต่พบว่าราว 2% มีปัญหาขณะหลับ คือ มีปัญหาหายใจลำบาก อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น รู้จักภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea Syndrome : OSAS) ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นมักเกิดจากช่องคอที่แคบลงและปิดในระหว่างหลับ ทำให้เด็กมีอาการหายใจเสียงดัง หายใจหอบ สะดุ้ง สำลัก เวลาหายใจเข้าหน้าอกจะบุ๋มปกติขณะหลับ โดยปกติขณะหลับกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายจะหย่อนตัวลง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจด้วย เด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นกล้ามเนื้อคอจะหย่อนตัวมาก ทำให้ช่องคอแคบกว่าปกติจนกระทั่งช่องคอปิด ทำให้เด็กพยายามหายใจเพิ่มขึ้น อาจได้ยินเสียงหายใจดังเฮือกเมื่อเริ่มกลับมาหายใจอีกครั้ง การหายใจเช่นนี้อาจกระตุ้นให้ตื่นเป็นช่วงสั้น ๆ และอาจทำให้หัวใจมีภาวะขาดออกซิเจน…
ใคร ๆ ก็อยากให้ลูกอยู่สุขใจสบายเนื้อสบายตัว ไม่มีปัญหารบกวนผิว แต่ลูกกลับมีปัญหาผดผื่นขึ้นจนได้ ยิ่งอากาศบ้านเราเปลี่ยนแปลงง่าย เริ่มอบอ้าวทีไรผดผื่นลูกก็ผุดขึ้นมาให้แม่ ๆ กลุ้มใจได้ตลอด ไม่เป็นไรค่ะเรามีวิธีจัดการ รู้ทันผดผื่น ทราบไหมคะว่าผดของลูกเกิดจากมีเหงื่อออกมาก เนื่องจากร่างกายมีความร้อนมากเกินไปค่ะ ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสกับแสงแดด ผดจะมีลักษณะเป็นผื่นสีแดง ๆ มักขึ้นตามร่างกายในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อมาก เช่น ใบหน้า ซอกคอ ไหล่ ตามข้อพับ ขาหนีบ ตัวลูกก็จะแดง ๆ และผิวหนังจะร้อน สาเหตุที่วัยเบบี๋เป็นผดบ่อย เพราะต่อมเหงื่อยังพัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแต่อย่างใด วิธีดูแล หาเสื้อผ้าเนื้อบางเบา เหมาะสมกับอากาศมาสวมใส่ให้ลูกเล็กอย่างผ้าฝ้าย ซึ่งเป็นผ้าที่ซับเหงื่อได้ดี และไม่ทำให้ร่างกายของลูกร้อน จึงเหมาะสมสำหรับการให้เด็กสวมใส่มากที่สุด งดเสื้อผ้าที่เป็นขนสัตว์มุ้งมิ้ง หรือเส้นใยสังเคราะห์ อย่าสวมเสื้อหนาเกินไป หรือใส่ให้ลูกหลาย ๆ ชั้น ยิ่งอากาศร้อน ห้ามใส่ หมั่นอาบน้ำชำระร่างกายให้ลูกบ่อย ๆ ด้วยน้ำธรรมดาในอุณหภูมิห้อง แล้วเช็ดตัวให้แห้ง การอาบน้ำบ่อย ๆ จะช่วยให้ผิวหนังลูกเย็นลง ลูกก็จะสบายตัวมากขึ้น จัดห้องลูกไม่ให้ร้อนอบอ้าว อากาศถ่ายเทได้ดี มีลมพัดเข้าออกเบา…
เด็กตอบสนองเสียงต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดค่ะ คุณแม่ลองสังกตลูกดูว่าถ้ามีเสียงดนตรีแทรกขึ้นขณะที่มีเสียงอื่นดังอยู่ ลูกจะทำท่าเงี่ยหูฟังดนตรีอย่างตั้งใจ ถ้าได้ยินเสียงแม่เห่กล่อม ลูกก็จะนอนง่ายขึ้น เด็กในวัยแรกเกิดถึง 1 ขวบมีพัฒนาการตอบสนองต่อเสียงดนตรีเพิ่มขึ้นตามวัยดังนี้ค่ะ วัย 1 เดือน รู้จักมองหาจุดที่มาของเสียงที่ได้ยิน เมื่อได้ยินเสียงแม่ร้องเพลงจะจำได้เป็นพิเศษ วัย 2 เดือน สนใจฟังเสียงต่าง ๆ แสดงอาการชอบใจ เมื่อได้ฟังเสียงดนตรีและเสียงเพลงจะชะงักงัน และหยุดนิ่งเพื่อฟังเสียง วัย 3 เดือน หนูชอบส่งเสียงอืออาตอบรับเสียงที่ได้ยิน หันหน้าไปหาเสียงเพลง เงี่ยหูฟัง บางทีก็หยุดดูดนมเพื่อตั้งใจฟังเสียงที่เกิดขึ้น ส่งเสียงในลำคอโต้ตอบเสียงนั้น วัย 4 เดือน เวลาได้ยินเสียงดนตรีจะตอบสนองทันที มองหาแหล่งเกิดเสียงแล้วก็หยุดฟังเสียงดนตรี เวลาลูกส่งเสียงเหมือนพูดคุย ก็ยังมีระดับเสียงขึ้นลงเหมือนเสียงดนตรีด้วยนะ วัย 5 เดือน เวลาเปิดเพลงจะมีปฏิกิริยาเหมือนตอบสนองต่อจังหวะและทำนองดนตรี แล้วจะใช้วิธีการส่งเสียงเป็นการสื่อสารกับคนอื่นได้ด้วย วัย 6 เดือน ทำท่าพอใจเมื่อได้ยินเสียงดนตรี เช่น ผงกหัว โน้มตัวลงตอบสนอง ส่งเสียงพึมพำ ทำหน้าประหลาดใจต่อแหล่งที่มาของเสียง พูดเลียนระดับเสียงดนตรี…