Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

คุณแม่ช่วงตั้งครรภ์

5 วิธีจัดการความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองช่วงตั้งครรภ์

บ่อยครั้งที่พบว่า ผู้หญิงเรารู้สึกกังวลใจกับความเปลี่ยนแปลงเมื่อเป็นคุณแม่พุงโต แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เป็นเช่นนั้น จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรมาดูกันค่ะ 1. อึดอัดกับน้ำหนัก การเดิน 10 – 15 นาทีหรือทำโยคะเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้คุณมีพลังงานและความรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น การออกกำลังกายเบาๆ นอกจากเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ยังช่วยให้คุณมีพลังเก็บไว้ ยามคลอดลูกได้ดีอีกด้วย  แถมยังช่วยลดความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 2. กังวลเรื่องหน้าตา ช่วงเวลาที่ผู้หญิงรู้สึกเหมือนสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเอง กูรูช่างแต่งหน้า Bobbi Brown กล่าวว่า การแต่งหน้าอาจจะเป็นวิธีที่ดี เพื่อให้คุณแม่รู้สึกดีกับตัวเองได้ และสนุกกับการลองเฉดสีใหม่  ของลิปสติกหรืออายแชโดว์ เพื่อให้ตัวเองดูดีในช่วงที่ตั้งท้อง 3. รูปร่างเปลี่ยนไป เพราะความเปลี่ยนแปลงเรื่องรูปร่างคือสิ่งที่เห็นได้ชัด คุณจึงกังวลกับเรื่องการแต่งตัว การเลือกเสื้อผ้าในช่วงนี้ คุณไม่ต้องห่วงกับข้อจำกัดการตั้งท้องอีกต่อไปแล้ว แต่ลองสร้าง Fashionista สร้างแฟชั่นสไตล์แม่ท้อง ที่ดูดีและมั่นใจได้ในแบบฉบับคุณ 4. ปัญหาเรื่องผิว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งท้อง นำมาซึ่ง  การเปลี่ยนไปของเซลล์ในร่างกาย ขอเพียงคุณรู้และรับมือเป็น ด้วยการดูแลผิวอย่างมีระบบ เช่น ให้ ความชุ่มชื่นผิว ทั้งหน้าท้อง แขนและขา ปกป้องผิวจากแสงแดด ดูแลอาหารการกิน การพักผ่อนกายและใจ…

Read more

8 พฤติกรรมทำลายสุขภาพแม่ท้อง

การเลิกพฤติกรรมที่ไม่ดี ย่อมมีผลดีต่อชีวิตเรา แต่แม่ๆ อาจไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ดี คิดว่าไม่น่าจะมีผลเสียอะไร แต่จริงๆ แล้วมีค่ะ โดยเฉพาะ 8 พฤติกรรมแบบนี้ที่ควรเลิกทำเพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ มาติดตามกันค่ะ 1. กลั้นจาม ผลของการกลั้นจาม ทำให้ความดันขึ้น การปิดปาก บีบจมูกเพื่อกลั้นจาม ทำให้ความดันในสมองเพิ่มขึ้น การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองหยุดชะงัก เนื้อเยื่อในสมองก็ถูกบีบอัด ท้ายสุดก็จะปวดหัว หลอดเลือดเสียหาย มีผลเสียต่อการได้ยิน ใครที่ชอบทำต้องเลิกนะคะ 2. ใช้น้ำหอมมากไป ผลของการใช้น้ำหอมมาก ทำให้คลื่นไส้ เวียนหัว  แม้จะเป็นไอเท็มชิ้นโปรด แต่น้ำหอมก็เป็นสารเคมีสังเคราะห์ ถ้าใช้มากก็ทำให้เวียนหัว คลื่นไส้ แล้วยังทำให้ง่วงนอนได้อีก ยิ่งถ้าเป็นภูมิแพ้ ยิ่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตา ลำคอ ผิวหนัง เปลี่ยนมาใช้น้ำมันหอมระเหยดีกว่าค่ะ 3. ใช้สมาร์ทโฟนก่อนเข้านอน ผลของการ ใช้สมาร์ทโฟนก่อนเข้านอน ทำให้ภูมิคุ้มกันเสื่อม การนอนหลับที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมได้ดีต้องไม่มีมือถือ แสงจากจอจะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยในการนอนหลับ เมื่อเมลาโทนินต่ำก็จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า มะเร็ง โรคอ้วน โรคหัวใจ และระบบภูมิคุ้มกันเสื่อม…

Read more

4 เคล็ดลับดูแลหัวใจให้แข็งแรงป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

แม่ๆ หัวใจแข็งแรงกันหรือยัง ? รู้ไหม? โรคหัวใจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 2 คนต่อชั่วโมง แม่ๆ ลองทบทวนหน่อยสิคะว่าดูแลหัวใจกันดีหรือยัง ถ้ายัง เรามีวิธีแนะนำในการดูแลหัวใจกันค่ะ 1.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ แม่ๆ ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายนั้นแสนดี เพียงแต่ยังไม่ลงมือทำสักที อย่าเพียงแต่คิดนะคะ ต้องลงมือทำด้วย เพียงการเดิน หรือแอโรบิกในน้ำก็จะช่วยให้หลอดเลือดผ่อนคลายและเกิดการขยายตัวได้มากขึ้น ช่วยทำให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เข้าไปบำรุงหัวใจได้ดี ซึ่งก็ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่จำเป็นต่อการควบคุม การกำหนด และการปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง สมบูรณ์ตามมาในที่สุด 2.กินอาหารให้สมดุล ไม่มากไป ไม่น้อยไป ต้องเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดีต่อหัวใจ เช่น กินผักสด ผลไม้สด โปรตีนและธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีจนหมดคุณค่าทางอาหาร มองหาพลังงานและสารอาหารดีๆ ที่ร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ปลาแม็คเคอเรล ปลาทูน่า ถั่วเหลือง เมล็ดฟักทอง  วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ หรือธัญพืชต่างๆ ที่ล้วนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด พร้อมช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ด้วยนะคะ 3.หาทางผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง เช่น…

Read more

4 สัญญาณฟ้องแบบไหน คือ แม่เครียด

สิ่งที่ทำให้เป็นปัญหากับชีวิตของทุกคน คือ การเครียดแบบไม่รู้ตัวค่ะ เลยทำให้แก้ปัญหาได้ยากตามไปด้วย ดังนั้นจะขอพาคุณแม่ไปสำรวจตัวเองกันว่าเรามีสัญญาณที่ร่างกายบ่งบอกว่ากำลังเครียดหรือไม่ เพราะการรู้ตัวเร็วก็จะช่วยให้แก้ไขได้เร็วจาก 4 สัญญาณฟ้องเตือนเหล่านี้ 1. ตัวร้อน ตัวสั่น เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ อาการตัวร้อนจะเกิดขึ้นเมื่อพบเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยอุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มขึ้น จะมีเหงื่อออก ร่างกายสั่นเทา ปากแห้ง กระวนกระวายใจ หัวใจเต้นแรง หายใจถี่ บางท่านอาจถึงขั้นปัสสาวะบ่อย ท้องเสีย แน่นหน้าอก เหล่านี้เป็นเพราะเมื่อเกิดความเครียด ลักษณะทางกายภาพก็เครียดตาม ทำให้แสดงออกถึงอาการดังกล่าวตามไปด้วย 2. ผมร่วง น้ำหนักลด นอนไม่หลับ เป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 ที่ร่างกายส่งสัญญาณทางกายภาพว่ากำลังเกิดอาการเครียด แล้วเมื่อแม่ๆ ปล่อยทิ้งไว้ ไม่สนใจจะแก้ไขแบบจริงๆ จังๆ อาการที่เกิดจากความเครียดในข้อที่ 1 ก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนส่งผลต่อร่างกาย    มากขึ้น ทำให้เกิดอาการผมร่วง น้ำหนักลด นอนไม่หลับตามมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพิกเฉยค่ะ ต้องหาทางแก้ไขนะคะ 3. ไม่มีสมาธิ แน่นอนว่าเมื่อเกิดความเครียด แม่ๆ ย่อมไม่มีสมาธิที่จะทำอะไร ความสนใจจดจ่อกับการทำงาน…

Read more

4 เคล็ดลับ ช่วยแม่ๆ ผิวใสแบบผิวเด็ก

สิ่งที่คุณแม่ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ฝุ่นควัน มลภาวะ แสงแดด ปัจจัยภายใน เช่น ภาวะความเครียด การกินอาหารที่ไม่สมดุล การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ถือเป็นตัวการที่ทำให้ผิวอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆตามมา ทั้งผิวแห้งขาดน้ำ ผิวหมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน ริ้วรอยก่อนวัย ผิวบอกบางระคายเคืองง่าย เป็นสิวง่าย เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ เพื่อให้มีผิวหน้าใส ด้วย 4 เทคนิคง่ายๆ ดังนี้ค่ะ      1.ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เพราะความเย็นของน้ำจะช่วยกระชับผิวหน้าได้ดีกว่า ช่วยทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวรูขุมขนกระชับขึ้น ช่วยลดถุงใต้ตาที่เกิดขึ้น เพราะอดนอนหรือนอนไม่พอ แถมยังช่วยลดอาการผดผื่น รวมทั้งช่วยลดการอักเสบของผิวหน้าเมื่อต้องออกไปเผชิญกับความร้อนจากแสงแดดที่แรงจัดได้อีกด้วยค่ะ 2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี การไหลเวียนของเลือดในช่วงออกกำลังกายจะช่วยพาออกซิเจนและสารอาหารเข้าไปทำงานในเซลล์ต่างๆ ของร่างกายรวมไปถึงผิวหนังด้วยจึงช่วยทำให้ใบหน้ามีความกระชับเต่งตึงขึ้น ผิวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 3.ออกไปรับแสงแดดอ่อน ในตอนเช้าๆ เพราะช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. แสงแดดในยามนี้มีวิตามินดี ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างแคลเซียม ซึ่งไม่เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟันเท่านั้น แต่ยังเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการดูแลผิวหนังได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะต่างๆได้ ดีอย่างนี้เช้าๆไปเดินเล่นรับแสงแดดอ่อนๆ เลยนะคะ 4. รักษาความชุ่มชื้นของผิวให้คงอยู่นานๆ เพราะความชุ่มชื้นของผิวเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ทุกสภาพผิวมีสุขภาพดี…

Read more

ท้องกี่เดือน ห้ามขึ้นเครื่อง

คุณแม่มือใหม่หลายคนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไกลบ่อยๆ อาจมีความกังวลว่า คนท้องสามารถขึ้นเครื่องบินได้หรือไม่? แล้วจะปลอดภัยหรือเปล่า?

Read more

คุณแม่ทำสวยได้ไหมขณะตั้งครรภ์

สาวๆ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ช่วงวัยใดหรือสถานภาพอะไร มักรักสวยรักงามและชอบดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ หลายคนเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ อาจเกิดความกังวลใจ จะทำนั่นดีไหม ทำนี่ดีหรือเปล่า และคำถามที่ว่า “ฉันแต่งหน้าได้ไหม หรือเปลี่ยนสีผมได้หรือเปล่า” ก็เป็นคำถามที่บรรดาว่าที่คุณแม่มักสงสัยอยู่เสมอๆ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระหว่างตั้งครรภ์ ระบบต่างๆ ในร่างกายจะมีการปรับสภาพเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลักๆ ก็คือเรื่องของฮอร์โมน ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบเมตาบอลิซึม และระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านผิวหนังที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอก เช่น หน้าท้องลาย ผิวนูนขึ้นมาคล้ายใยแมงมุม บริเวณแขน ขา และใบหน้า มีสิวฝ้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนสุดท้ายสิวอาจขึ้นเยอะเป็นพิเศษ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงและหายเองได้หลังคลอด  หลายคนรู้สึกหมดความมั่นใจเมื่อต้องพบกับสภาพที่เปลี่ยนไป อาจต้องการที่จะหาวิธีเรียกความสวยงามให้กลับคืนมา ซึ่งการเสริมสวยเพื่อเติมความมั่นใจนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ผิดกติกาว่าที่คุณแม่ เพียงแต่สิ่งสำคัญคือต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สารเคมีบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อย และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามที่เราไม่มั่นใจว่าปลอดภัย 100% หรือไม่ ข้อควรระวังได้แก่  การใช้ยารักษาสิว ยากลุ่มวิตามินเอ (Ratinol) หรือ Isotretinoin และ Tretinoin เป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะกินหรือทาก็ต้องงดไปก่อนเพราะอาจส่งผลต่อความพิการของทารกได้  ยาอีกตัวที่ใช้รักษาสิวกันมาก แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในช่วงเดือนที่ 4-9 ของการตั้งครรภ์คือ Doxycycline เพราะยาจะส่งผลให้ทารกมีสีฟันผิดปกติ หากมีคลินิกรักษาสิวเป็นประจำอยู่แล้ว ควรแจ้งแพทย์ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ทางคลินิกจะได้ปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม การบำรุงผิว ขณะตั้งครรภ์ว่าที่คุณแม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ตามปกติ แต่เพื่อความปลอดภัยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และมีมาตรฐานรับรองชัดเจน ไม่ควรมีสารเคม ระวังอย่าใช้ครีมชนิดใหม่ที่ไม่เคยใช้เพื่อป้องกันการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนนเพราะสามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้รวมถึงหลีกเลี่ยงสารปรอทที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท การแต่งหน้า ว่าที่คุณแม่สามารถแต่งหน้าเขียนคิ้วทาปากได้เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า คนท้องจะสิวขึ้นง่ายกว่าปกติ จึงควรระวังเกี่ยวกับส่วนผสมของเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน และต้องทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดทุกครั้งหลังแต่งหน้า และควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ต้องมั่นใจว่าเครื่องสำอางนั้นปลอดภัยและเชื่อถือได้ 100% ก่อนนำมาใช้กับผิวหน้า การทำสีผม จริงๆ แล้วการที่สารเคมีย้อมผมจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นไปได้น้อยมากๆ จึงแทบไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ แต่หากไม่จำเป็นก็ควรเลี่ยงความเสี่ยงไปก่อน เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่บ่งชี้ผลกระทบในระยะยาว หากต้องการเปลี่ยนสีผมจริงๆ แพทย์มักแนะนำว่าควรรอให้เลยช่วงอายุครรภ์ 3 เดือนแรกไปก่อน ความสวยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงมีสุขภาพจิตดีและรู้สึกมีความสุข ในระหว่างตั้งครรภ์ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มีความสุขอยู่เสมอ…

Read more

ดื่มน้ำแค่ไหนอย่างไรช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ ?

คุณแม่คงเคยได้รับคำแนะนำมาบ้างว่าให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มน้ำนมแม่ แล้วจะต้องดื่มมากแค่ไหนคุณแม่อาจสงสัยใช่มั้ยคะ ตรงนี้มีคำตอบค่ะ 1.ปริมาณน้ำไม่จำเป็นต้องเกินกว่าปกติมากเกินไป การดื่มน้ำเกินความต้องการของร่างกายไปมากจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า 2.ดูว่าดื่มน้ำพอเพียงต่อการให้นมลูกได้โดยดูจากปัสสาวะคุณแม่ค่ะ ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มขึ้นแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่พอเพียงต้องการน้ำเพิ่ม 3.วิธีดื่มน้ำที่เหมาะสมในแต่ละวันไม่ใช่การดื่มคราวละเป็นลิตรๆ แต่ควรดื่มทีละน้อยเป็นระยะเพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงร่างกายตลอดวัน  4.สังเกตตัวเองว่าถ้ารู้สึกกระหายน้ำบ่อยแสดงว่าร่างกายต้องการน้ำเพิ่ม 5.ระวังน้ำพวกผลไม้หรือน้ำหวานสักนิดเพราะจะทำให้คุณแม่น้ำหนักเพิ่ม น้ำเปล่าดีที่สุด 6.น้ำขิง น้ำหัวปลี แกงจืดตำลึง แกงจืดใบกะเพรา แกงเลียงจะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่  การกระตุ้นโดยการให้ลูกดูดนมสม่ำเสมอและได้รับสารอาหารครบถ้วนเป็นปัจจัยสำคัญกว่ามุ่งไปที่การดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว การดื่มน้ำหลาย ๆ ลิตรไม่ได้ช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ แค่ดื่มให้พอเพียงในแต่ละวันก็พอค่ะ

Read more

7 วิธีเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อถึงวันคลอด

วันคลอดเป็นวันที่คุณพ่อคุณแม่อาจตื่นเต้นจนอาจลืมบางอย่างหรือทำอะไรไม่ถูก ฉะนั้นการเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อมไว้เสมอจะช่วยให้ไม่ฉุกละหุกในวันไปคลอดค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้ 1.จัดกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นแม่และลูกเตรียมไว้ล่วงหน้า 2.ช่วงใกล้คลอดเช็คสภาพรถเติมน้ำมันให้เรียบร้อย 3.เตรียมเบอร์โทรโรงพยาบาล เบอร์โทรฉุกเฉินเผื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือเรียกรถพยาบาล เบอร์แท็กซี่หรือแอพ 4.ติดต่อบอกญาติหรือเพื่อนที่อยู่ใกล้ไว้ล่วงหน้า เผื่อติดขัดขอความช่วยเหลือหรือให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล 5.พยายามเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้าน นึกถึงกรณีเจ็บท้องคลอดในช่วงเวลารถติดไว้ด้วยค่ะ 6.เมื่อมีอาการเตือนว่าจะคลอดแล้ว มีมูกเลือด น้ำคร่ำเดิน เจ็บท้องมากขึ้นและถี่ขึ้น คุณแม่อาจงดน้ำและอาหารเผื่อจำเป็นต้องผ่าคลอดจะได้สะดวกค่ะ 7.เตรียมใจ ฝึกผ่อนคลายและฝึกการหายใจเข้าออกช้า ๆ จะช่วยลดความกังวลในวันคลอดได้ดีค่ะ คุณพ่อก็ฝึกด้วยได้นะคะ การเตรียมพร้อมคุณแม่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีสติและไม่เครียดมากเกินไป เพราะวันนี้จะเป็นวันสำคัญที่คุณแม่รอคอยต้อนรับสมาชิกคนใหม่ในครอบครัวค่ะ

Read more

เจ็บหลอกหรือเจ็บท้องคลอดกันแน่ ?

ในช่วงเดือนสุดท้ายใกล้คลอดคุณแม่เฝ้าระวังและระแวงอยู่ใช่มั้ยคะว่าอาการเจ็บท้องที่เกิดขึ้นเจ็บจริงหรือเจ็บหลอก ก็จะไม่ต้องไปโรงพยาบาลเก้อ หรือเจ็บจริงขึ้นมาก็จะไปโรงพยาบาลทันท่วงที  มาสังเกตอาการกันค่ะจะได้แยกออกว่าอาการเจ็บท้องจริงกับเจ็บหลอกต่างกันยังไงบ้าง เจ็บท้องหลอกหรือเจ็บท้องเตือน 1.ระยะเวลาเจ็บไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้าง เจ็บมากบ้างหรือน้อยบ้าง หรือเจ็บติด ๆ กันหลายครั้งแล้วหยุดไป 2.เคลื่อนไหวตัวหรือลุกขึ้นมาเดินก็จะดีขึ้น 3.ไม่มีมูกปนเลือด หรือไม่มีเลือดออกมาจากช่องคลอด 4.เจ็บอยู่ตรงบริเวณท้อง เจ็บท้องคลอดของจริง 1.เจ็บท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ็บสม่ำเสมอ เจ็บถี่ขึ้น 2.ท้องแข็งตึง 3.เคลื่อนไหวตัวหรือเดินจะเจ็บมากขึ้น และเจ็บทุก ๆ 10 นาที 4.มีมูกหรือมูกปนเลือดออกมาทางช่องคลอดออกมา ถ้ามีอาการ 4 ข้อหลังข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม โทรแจ้งทางโรงพยาบาลแล้วเตรียมตัวเดินทางไปคลอดได้แล้วค่ะ

Read more