เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนต้องเคย หรือกำลังประสบปัญหาลูกน้อยกินยาก ไม่ยอมกินข้าว กว่าจะผ่านไปแต่ละมื้อ ต้องใช้ทั้งความอดทน และความพยายาม ยังไม่นับรวมความกังวล กลัวลูกน้อยไม่แข็งแรง ขาดสารอาหาร ไม่โตตามวัย บกพร่องทางพัฒนาการ และอีกสารพัดปัญหาเพียงเพราะ “ลูกไม่อยากกินข้าว” แบบนี้ต้องรู้จักกับวิธีรับมือ ด้วย 4 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมลูกน้อยให้การกินข้าวไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป 1.สร้างสีสันให้กับหน้าตาอาหาร ช่วยลดความเบื่อ ไม่อยากอาหาร ถ้าลูกน้อยเป็นคนขี้เบื่อ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องโชว์ฝีมือในเรื่องของการจัดจานกันสักหน่อยเพื่อให้ดูน่าทานมากขึ้น โดยอาจจะใช้แม่พิมพ์หั่น หรือเน้นเรื่องของการใช้สีสันต่าง ๆ ซึ่งผักแต่ละชนิดก็มีสีสันที่ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลย แม้แต่ข้าวก็มีหลายสีให้เลือก หรือจะใช้พวกอัญชัน ใบเตย กระเจี๊ยบ มาทำให้มื้ออาหารมีสีสันที่น่ากินมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ สารอาหารต้องครบทั้ง 5 หมู่ ควบคู่กับการดื่ม “นม” ที่มีสารอาหาร ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมองอย่างนมโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 โกลด์ ที่อุดมไปด้วย DHA ถึง 27 มก. โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 โอเมก้า…

รู้หรือไม่ว่า 3 ใน 10 ของเด็กไทยในช่วงวัย 6 เดือน – 5 ขวบอยู่ในภาวะขาดธาตุเหล็กมากที่สุด ซึ่งส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สมอง รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานสำรวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศไทย ครั้งที่ 5 พ.ศ.2546) คุณแม่จึงควรเลือกอาหารที่ให้ธาตุเหล็กแก่ลูกน้อยรวมทั้งสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นแก่ร่างกายอย่างเพียงพอ เพื่อให้ลูกรักเติบโตแข็งแรงและพัฒนาสมวัย  ประโยชน์ของธาตุเหล็กนั้นมีหลายประการ โดยธาตุเหล็กเป็นหนึ่งในแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงอันเป็นแหล่งลำเลียงก๊าซออกซิเจนให้ไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ตามกระบวนการเจริญเติบโตของร่างกาย นอกจากนั้นแล้ว ธาตุเหล็กช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง อีกทั้งธาตุเหล็กยังอยู่ในสื่อประสาท ช่วยให้เซลล์ประสาทและสมองทำงานได้เต็มที่ ส่งผลให้มีสมาธิ ความจำดี เรียนรู้ได้ไว หากร่างกายขาดธาตุเหล็กจะส่งผลเสียแก่ร่างกายทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น พัฒนาการสมองช้า เป็นต้น  สำหรับปริมาณธาตุเหล็กที่เด็กวัย 6-11 เดือนควรได้รับนั้นอยู่ที่ 9.3 มิลลิกรัมต่อวัน หรือหากเปรียบเทียบง่ายๆ คือลูกน้อยต้องรับประทานไข่มากถึง 12 ฟองต่อวัน จึงจะได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ แต่จริงๆ แล้วลูกน้อยควรรับประทานอาหารที่หลากหลายเพื่อได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นและมีประโยชน์แก่ร่างกายด้วย โดยหลัง 6 เดือนเป็นต้นไป…

หนึ่งในหน้าที่สำคัญของมนุษย์แม่ทุกคนคือการสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก โดยเฉพาะในช่วงขวบวัยแห่งการเจริญเติบโต  การเลือกอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะนมนั้นนับเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มนุษย์แม่ต้องใส่ใจอย่างยิ่ง เพราะสารอาหารในนมจะช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยเติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และพัฒนาการด้านต่างๆ  ยิ่งหากเป็นนมกล่อง UHT ซึ่งมนุษย์แม่ส่วนใหญ่เลือกให้ลูกรัก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้จักเลือกนมกล่องที่ดีที่สุด เป็นนมวัวแท้ 100% และมีสารอาหารธรรมชาติให้ประโยชน์ทางโภชนาการ วันนี้เรามี Check lists ที่พร้อมให้มนุษย์แม่ใช้ประกอบการตัดสินใจว่านมที่ลูกน้อยดื่มอยู่นั้นได้มาตรฐานนมวัวแท้ 100% หรือไม่ เช็กเลย! วิธีเช็กว่าเป็นนมวัวแท้ 100% ที่มีคุณภาพ 1. มีข้อความระบุว่าเป็นน้ำนมวัวสดแท้ 100% อับดับแรกนั้นเป็นข้อสังเกตที่ง่ายที่สุดก็คือ คุณแม่ต้องมองหานมกล่อง UHT ที่มีฉลากข้างกล่องเขียนว่า น้ำนมโคสดแท้ 100%  ทั้งนี้เพื่อคุณแม่มั่นใจได้ว่า นมกล่องนั้นเป็นนมวัวแท้ 100% จากธรรมชาติ 2. มีตราสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อันดับต่อมา ควรมองหาสัญลักษณ์เครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ (Healthier choice) ที่เป็นเครื่องหมายที่ใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกชื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีเพราะเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพเป็นสัญลักษณ์โภชนาการที่เชื่อถือได้ โดยได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เช่น นมโฟร์โมสต์ที่มีระบุสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพจะช่วยให้คุณแม่มั่นใจได้ว่านมที่คุณแม่เลือกนั้นดีและมีประโยชน์ต่อลูกน้อย 3. มีข้อมูลโภชนาการและสารอาหารประจำกล่อง เหนืออื่นใด…

โรงเรียนนานาชาติได้รับการยอมรับและความเชื่อถืออย่างสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องการมอบโอกาสทางการศึกษาคุณภาพมาตรฐานระดับสากลให้แก่บุตรหลาน ทำให้ที่ผ่านมาโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางตัวเลือกมากมายที่เกิดขึ้น มีโรงเรียนนานาชาติเพียงไม่กี่แห่งที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย หนึ่งในนั้นก็คือ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดในเอเชียมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในแต่ละปีมีพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาสมัครเข้าเรียนอย่างล้นหลาม จนทำให้มีเด็กที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจำนวนมากต้องถูกปฏิเสธ กระทั่งในปี 2561 โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ได้เปิดแคมปัสใหม่ใจกลางเมืองขึ้นอีกแห่งบนพื้นที่ 15 ไร่ ในทำเลระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 9 โดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส” เพื่อรองรับเด็กนักเรียนอายุ 3-11 ปีโดยเฉพาะ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ปีการศึกษาแรก นางสาวอแมนดา เดนนิสสัน ครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ – ซิตี้แคมปัส ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงการศึกษามาอย่างยาวนาน โดยเคยดำรงตำแหน่งครูใหญ่ฝ่ายอนุบาลของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ริเวอร์ไซด์ แคมปัส มาเป็นเวลา 7 ปี และก่อนหน้านั้นเคยดำรงตำแหน่งครูใหญ่ของโรงเรียนประถมศึกษาชั้นนำในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ปีการศึกษาแรกที่เปิดการเรียนการสอน โดยได้รับการตอบรับจากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาสมัครเข้าเรียนเป็นจำนวนมากเกินความคาดหมาย…

โลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเป็นตัวผลักดันให้ทุกอย่างขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เด็กๆซึมซับจังหวะความเร็วนี้เพียวปลายนิ้วสัมผัส ความรวดเร็วทันใจและทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกันนี้ ส่งผลให้เด็กยุคใหม่ สมาธิสั้น ขาดความอดทน และการใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีเป็นเวลานานๆ จะทำให้เด็กขาดทักษะทางสังคม ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กอายุ 2-3 ขวบ ที่สมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมากแทบเป็นนาทีต่อนาที เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่สมองมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วสูงสุด มีความสามารถจดจำได้ทุกรูปแบบและหล่อหลอมออกมาเป็นบุคลิกภาพของตนเอง เด็กในวัยนี้จึงต้องได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่ และครูที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านพัฒนาการเด็กเล็กร่วมกัน ซึ่งการเรียนดี กิจกรรมเด่น ไม่เพียงพออีกต่อไปในยุคนี้ ต้องมี “ทักษะทางสังคม” ด้วย เด็กในวัย 2-3ขวบ จะเริ่มโตขึ้น รู้เรื่องมากขึ้น เขาจะเริ่มอยากมีสังคม อยากเล่นกับเพื่อน แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวแบบไหนเมื่อเล่นกับเพื่อน หรือเมื่ออยู่กับคนรอบข้าง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้เด็กๆเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆได้แก่ เรียนรู้เรื่องการสื่อสาร: ทักษะการสื่อสารที่ดี ย่อมส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีให้กับเด็ก ดังนั้นเด็กๆจะต้องเรียนรู้และสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ ทั้งการแสดงออกถึงความต้องการของตนเอง และการทำความเข้าใจความต้องการของผู้อื่นที่สื่อสารกลับมา โดยเฉพาะทักษะการสื่อสารทางด้านภาษา ในวัยนี้สมองของเด็กเปิดรับข้อมูลได้กว้างมาก เปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำได้ปริมาณมาก หากเด็กๆได้รับการฝึกฝนภาษาอังกฤษ เขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก จะเปิดโลกทัศน์ทางสังคมที่พวกเขาอยู่ที่ไม่จำกัดแค่สื่อสารกับชนชาติใดเพียงกลุ่มเดียว แต่จะสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเพื่อนๆได้ทุกประเทศทั่วโลก เรียนรู้เรื่องการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น: เมื่อเด็กๆเริ่มมีเพื่อน เขาจะต้องเรียนรู้การเล่นและแบ่งปันสิ่งของร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยการเริ่มปล่อยให้เด็กได้เล่นและแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยมีครูผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กเล็กคอยกำกับดูแล เด็กจะเริ่มเรียนรู้การอยู่ในสังคมที่ไม่มีพ่อแม่ เข้าใจความแตกต่างของเพื่อนแต่ละคนว่ามีบุคลิกอย่างไร รู้จักการทำตามกฎกติกา รู้จักการประนีประนอมไม่เอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ รวมถึงมารยาทและ…

รู้หรือไม่ว่า วัคซีนช่วยชีวิตคนทั่วโลก 5 คนในทุกหนึ่งนาที ดังนั้น เด็กไทยทุกคนควรได้รับวัคซีนพื้นฐาน ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคที่สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยปี 2562 ได้กำหนดไว้ โดยปัจจุบันนี้มีวัคซีนรวม 6 โรค เด็กทารกสามารถฉีดวัคซีนในช่วงอายุ 2-4-6 เดือน เพื่อสร้างภูมิต้านทานที่ดีและช่วยส่งเสริมพัฒนาการทำให้ลูกรักเจริญเติบโตสมวัย โดยสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยปี 2562 ได้กำหนดวัคซีนที่แต่ละช่วงอายุต้องได้รับ แตกต่างกันไป เช่น ทารกแรกเกิด จำเป็นต้นได้รับวัคซีน บีซีจี (BCG) และตับอักเสบบี (HB1) สำหรับทารก 1 เดือน เฉพาะรายที่เกิดจากมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีต้องได้รับ วัคซีนตับอักเสบบี (HB2) ส่วนทารกวัย 2 เดือน จำเป็นต้องได้วัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี (DTP-HB1) และและโปลิโอชนิดหยอด (OPV1) ส่วนทารกวัย 4 เดือน วัคซีนจำเป็นคือ คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี (DTP-HB2)…