คุณแม่คงเคยเห็นเด็กบางคนเพลิดเพลินกับการกินผักโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่คอยกำกับเลยแม้แต่น้อย เห็นแล้วปลื้ม แต่พอย้อนกลับมามองลูกเราเอง คุณแม่หลายคนรู้สึกว่าการจะทำให้ลูกกินผักนั้นเป็นโจทย์ยากและโจทย์ใหญ่ในใจของคุณแม่มาตลอด อย่าเพิ่งท้อใจไปค่ะ ลองหลาย ๆ วิธีค่อย ๆ ทำทีละน้อยก็จะช่วยให้ลูกกินผักได้ มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากค่ะ 1.คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นต้นแบบที่ดีภายในบ้าน ให้ลูกนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เด็กๆให้เขาเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่เองก็กินผักเป็นเรื่องปกติและเอร็ดอร่อยไปกับผักต่าง ๆ 2.เมื่อลูกถึงวัยเริ่มต้นกินอาหารเสริม ไม่มีกลิ่นฉุนรถไม่ขมก่อน เพื่อสร้างความประทับใจในรสชาติของผัก ผักที่รับประทานง่ายอย่าง เช่น แคร์รอต ฟักทอง ตำลึง ผักกาดขาว ฯลฯ 3.ตกแต่งเมนูผักให้น่ารับประทาน ใช้สีเขียว แดง ส้ม เหลือง หรือม่วง ในอาหารเพื่อดึงดูดความสนใจของลูก เพราะเด็ก ๆ ชอบสีสันสดใสค่ะ 4.เด็ก ๆ มักจะชอบกินอาหารที่มีรสสัมผัสกรอบ คุณแม่ลองคิดค้นเมนูผักกรอบ อาจจะชุบแป้งทอด อบกรอบ หรือหั่นผักและผลไม้สดที่มีความกรอบแช่เย็นไว้ให้ลูกรับประทาน 5.ชวนลูกปลูกผักในกระถางน่ารัก ๆ เลือกผักที่โตง่าย จะเพาะเมล็ดหรือซื้อมาทั้งกระถางเลยก็ได้ ให้เขามีส่วนร่วมดูแล รดน้ำต้นไม้ และตัดมารับประทาน สู้ ๆ…
Knowledge
ความรู้ ทั้งอัพเดท และ How to การเลี้ยงดูลูก รวมถึงการดูแลตัวเอง ฉบับคุณแม่ คุณพ่อ ยุคใหม่ ที่ครบคลุมตั้งแต่ ช่วงตั้งครรภ์ จนถึง ลูกอยู่ในวัยประถม
ในสายตาของแม่ ๆ และหลายคน ขนมกรุบกรอบมักจะเป็นผู้ร้ายทำลายสุขภาพลูก ความจริงแล้วขนมกรุบกรอบไม่ได้เป็นผู้ร้ายไปเสียทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการเลือกด้วยค่ะและทุกวันนี้ก็มีขนมที่ดีกับเด็กให้เลือกอยู่มิใช่น้อย เพียงแค่คุณแม่มองหาเท่านั้นเองค่ะ ทำไมถึงแนะนำขนมกรุบกรอบ นั่นก็เพราะเมื่อเด็ก ๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ตามถ้าได้กินอะไรกรอบ ๆ บ้างก็จะรู้สึกมีความสุข และความสุขนั้นก็ต้องมาพร้อมกับสุขภาพที่ดีด้วยค่ะ กรุบกรอบแบบนี้ควรเลี่ยง ไขมันสูง รสหวานจัดมีน้ำเป็นส่วนผสมมาก รสเค็มจัด มีแต่แป้งล้วน ๆ ใส่ผงชูรส ปรุงแต่งสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นสีกลิ่นรสชาติสารกันบูด กรุบกรอบแบบนี้ OK ไขมันและน้ำตาลน้อย ใช้ผักหรือผลไม้แท้ ๆ หรือมีส่วนผสมของผักและผลไม้ไม่ใช่แป้งไม่ใช่แป้งผัดขาวล้วน ๆ ทำให้กรอบด้วยการอบแห้งหรือทอดกรอบด้วยน้ำมันน้อยหรือกำจัดน้ำมันออกไปแล้ว ธัญพืชต่าง ๆ เช่นถั่ว ลูกนัทต่าง ๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ฯลฯ ไม่ปรุงแต่งสีกลิ่นรส หรือสารเคมีต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ให้ลูกกินขนมกรุบกรอบแล้วต้องควบคุมปริมาณการกินให้เหมาะสม และอย่าให้ใกล้มื้ออาหารเพราะลูกจะอิ่มไม่ยอมหม่ำข้าวค่ะ
การเลือกพี่เลี้ยงเด็กซักคนไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากดูนิสัยใจคอว่าน่าไว้วางใจ ใจเย็น ใจดี อดทนกับการดูแลเด็กได้จะไม่ทำร้ายลูกเราแล้ว คุณแม่อย่าลืมดูเรื่องความสะอาดและสุขภาพของคนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงด้วยนะคะ มีโรคติดต่ออะไรบ้าง เด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบภูมิต้านทานยังอ่อนจึงมีโอกาสรับเชื้อได้ง่าย เป็นแล้วอาการอาจรุนแรง โรคต่าง ๆ ที่พบว่ามีโอกาสติดได้บ่อยเช่น วัณโรค HIV ซิฟิลิส เริม กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ โลหิตเป็นพิษ ไข้ไทฟอยด์ อหิวาต์ ไวรัสตับอักเสบ โรคติดเชื้อทางผิวหนัง เหา และพยาธิ ฯลฯ ถ้าเป็นพี่เลี้ยงต่างด้าวปรึกษาคุณหมอว่าประเทศนั้น ๆ มักจะมีโรคติดเชื้ออะไรบ้าง แล้วจะทำยังไงดี ในศูนย์พี่เลี้ยงบางแห่งอาจมีใบรับรองการตรวจสุขภาพของพี่เลี้ยง แต่ถ้าไม่มีหรือคุณแม่ไม่มั่นใจก็พาไปตรวจสุขภาพได้ โรงพยาบาลบางแห่งมีแพกเกจตรวจสุขภาพพี่เลี้ยง ถ้าไม่มีลองปรึกษาคุณหมอว่าควรตรวจอะไรบ้าง รวมทั้งรับวัคซีนป้องกันโรค เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี และวัคซีนป้องกันวัณโรค สอนเรื่องความสะอาด มาตรฐานความสะอาดของคุณแม่และพี่เลี้ยงอาจไม่เท่ากันค่ะ สอนให้พี่เลี้ยงเรื่องสุขอนามัยและความสะอาด เช่น ความสะอาดร่างกาย การล้างมือ ไม่กินของร่วมกัน ไอจามปิดปาก…
คุณแม่ที่เพิ่งเริ่มให้นมลูกอาจสงสัยว่าน้ำนมแม่เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาหรือช่องแข็งได้นานแค่ไหน เพื่อความสะดวกเวลาใช้ ไม่จำเป็นต้องเก็บเข้าช่องแข็งเสมอไป มาดูกันเลยค่ะว่าแต่ละที่เก็บได้นานเท่าไหร่ 1.อุณหภูมิห้อง (อุณหภูมิต้องไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส) เก็บได้นานประมาณ 6 ชั่วโมง 2.ในตู้เย็นช่องธรรมดา (อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสขึ้นไป) เก็บได้นานประมาณ 5 วัน 3.ในช่องแข็งหรือฟรีซเซอร์ตู้เย็นประตูเดียว เก็บได้นานประมาณ 2 สัปดาห์ 4.ในกล่องเก็บความเย็นใส่ ice pack ไว้ในกล่อง กะปริมาณว่าเย็นอยู่นานพอไม่หายเย็นเร็วเกินไปก็จะเก็บได้ประมาณ 24 ชั่วโมง เหมาะกับการเดินทางใกล้ ๆ ค่ะ น่ารู้ ถ้าคุณแม่จะใช้น้ำนมภายใน 2-3 วัน การแช่เย็นช่องธรรมดาเหมาะกว่าการแช่แข็งนอกจากนะดวกแล้วยังรักษาสารป้องกันการติดเชื้อในน้ำนมเอาไว้ได้ การละลายนมแช่แข็งควรวางไว้ในช่องแช่เย็นธรรมดา จะสามารถเก็บได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง นมที่นำมาละลายแล้วห้ามนำกลับไปแช่แข็งอีก
คุณแม่อาจกังวลใจว่าจะคลอดเมื่อไหร่ ลองสังเกต 3 อาการนี้ค่ะ 1.มีมูกเลือดออกมาทางช่องคลอด ลักษณะแบบมูกเหนียว ๆ ข้น ๆมีเลือดปนอยู่ 2.น้ำคร่ำเดิน น้ำคร่ำที่ว่านี้อยู่ในถุงน้ำคร่ำพยุงตัวทารกอยู่ มีลักษณะเป็นน้ำใส ๆ คล้ายปัสสาวะ แต่ไม่มีกลิ่น และสีอาจจะขุ่นเล็กน้อย อาจไหลออกมาน้อยหรือมากก็ได้ต่างกันไปในแต่ละคนค่ะ 3.เจ็บท้องจริง อาการเจ็บจะรุนแรงขึ้น เจ็บสม่ำเสมอต่อเนื่อง เจ็บนานและถี่ขึ้น ไม่หายไปอย่างที่เคยเจ็บหลอกคราวก่อน ๆ ลักษณะเจ็บจะเริ่มตรงส่วนบนมดลูกแล้วเจ็บร้าวลงไปข้างล่าง ถ้าเจ็บทุก ๆ 10 นาทีก็แสดงว่าจวนคลอดแล้ว ถ้ามีอาการเตือนอย่างใดอย่างหนึ่งควรรีบไปโรงพยาบาลได้ทันทีค่ะ ไม่ต้องให้อาการครบทั้ง 3 ข้อ สัญญาณเหล่านี้บอกชัดว่าจวนจะคลอดแล้วอย่าลืมโทรแจ้งโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์ค่ะ ทำใจให้ผ่อนคลาย หลังจากเริ่มมีอาการเตือนโดยทั่วไปโดยเฉพาะท้องแรกมักจะเจ็บท้องนาน 8-12 ชั่วโมงก่อนคลอด แต่อย่างไรก็ตามต้องรีบไปโรงพยาบาลค่ะ เพราะถ้าหากเกิดปัญหาหรือพบความผิดปกติคุณหมอและคุณพยาบาลจะให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ข่าวคราวเด็กรังแกกันในโรงเรียนมีออกมาเป็นระยะ อย่างล่าสุดรุ่นพี่ม.2 รุมแกล้งน้อง ป.4 นอกจากเล็กกว่ากันหลายชั้นปีแล้วน้องยังเป็นออทิสติก ควรจะได้รับความเห็นอกเห็นใจและการดูแลจากคนรอบข้างด้วยซ้ำค่ะ ภาพความโหดร้ายของรุ่นพี่ซึ่งเป็นเพียงเด็ก ช็อกความรู้สึกคนทั่วไปก็จริง แต่ขณะเดียวกันคนส่วนหนึ่งมองว่าการรังแกกันเป็นเรื่องธรรมดา แค่ชดใช้เงินเพียงเล็กน้อยก็แล้วกันไป อาจต้องตั้งคำถามว่าโรงเรียนแก้ไขปัญหาจริงจังแค่ไหน มองเห็นปัญหาหรือเปล่า และสุดท้ายพ่อแม่มีโอกาสรับรู้บ้างไหมว่าลูกเราถูกรังแก หรือเป็นเด็กที่รังแกเด็กคนอื่นเสียเอง ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตรายงานว่าเด็กไทยถูกรังแกติดอันดับ 2 ของโลก หรือข่าวที่ออกมาว่าหนึ่งในเด็กที่รุมแกล้งเป็นเด็กกตัญญู อาจเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตั้งคำถามตัวโต ๆ ค่ะว่าสังคมไทยของเราเป็นอย่างไรไปแล้ว เด็กไทยรังแกกันในโรงเรียนติดอันดับ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น ! สถิติเด็กไทยถูกรังแกถึงปีละกว่า 6 แสนคน ! แม้ยังเป็นเด็กแต่ก็มีรูปแบบการรังแกกันด้วยวิธีรุนแรง โหดร้าย และทารุณ ! เด็กที่รังแกเพื่อนมีตั้งแต่ชั้นอนุบาล ! คนทั่วไปมองว่าการรังแกกันเป็นเรื่องปกติ ! โรงเรียนบางแห่งละเลยปัญหาพยายามปกปิดเพราะห่วงชื่อเสียง ! เด็กที่ถูกรังแกไม่กล้าบอกพ่อแม่หรือครู ! ถ้าพ่อแม่ ครู และสังคมละเลยการรังแกกันของเด็ก เท่ากับเราอาจกำลังสร้างเด็กที่มีปัญหาปีละ 6 แสนคน X 2 ซึ่งเด็กเหล่านี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่สร้างปัญหาให้กับตัวเองและสังคมในอนาคต ผลร้ายเกิดกับเหยื่อเท่านั้นหรือ…
พอลูกครบ 1 ขวบหรือขวบครึ่งก็ถึงเวลาให้บอกลาขวดนมที่รักได้แล้ว การดูดนมจากขวดนานเกินไปมีข้อเสียหลายประการ ตั้งแต่ฟันผุ ฟันยื่น หรือลดโอกาสพัฒนาทักษะการพูดและการใช้มือ รบกวนเวลานอนตอนกลางคืน เพราะยังตื่นมาดูดนมกลางดึก และหูชั้นกลางมีโอกาสอักเสบเนื่องจากนมไหลย้อนเข้าไป โอกาสดีก็วัยนี้ ในวัย 1ขวบถึง 1 ขวบครึ่งลูกเริ่มมีฟันหลายซี่ให้ดูแล และเริ่มจิบน้ำจากแก้วได้คล่อง ที่สำคัญคือเป็นช่วงที่ยอมทำตามคำสั่งได้ง่าย ถ้ายืดเยื้อไปจนใกล้ 2 ขวบ เด็กเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น การบอกให้เลิกขวดนมยากกว่าวัยนี้ค่ะ ทีละขั้นทีละตอน การตั้งเป้าให้เลิกขวดนมควรเตรียมพร้อมให้ลูกสามารถจิบน้ำจากแก้วได้ สามารถเริ่มฝึกได้ตั้งแต่วัย 6 - 9 เดือน โดยเริ่มจิบน้ำเปล่าก่อน หากทำได้ไม่สำลัก ค่อยลองให้จิบน้ำผลไม้และนมตามลำดับ เมื่อดูแล้วว่าเด็กสามารถดื่มนมจากแก้วโดยไม่สำลัก ค่อยเริ่มกระบวนการเลิกขวดนม ดูว่าลูกยอมรับความเปลี่ยนแปลงยากหรือง่ายและติดขวดนมมากน้อยแค่ไหน เลือกวิธีที่เหมาะกับเขาค่ะ How to : บ๊ายบายแบบหักดิบ เหมาะกับเด็กว่าง่าย ยังดูดนมจากขวดอยู่แต่ไม่ติดมากนัก เช่น ไม่ถือขวดเดินไปมา นอนหลับได้เองโดยไม่ต้องดูดนม เป็นต้น บอกล่วงหน้าไว้บ้าง เช่น “หนูโตแล้วนะ อีกไม่นานน่าจะได้เวลางดขวดนมแล้ว” บอกซ้ำ…
6 เครื่องดื่มนี้หากดื่มร่วมกับยาจะส่งผลเสียต่อร่างกาย และอาจร้ายแรงถึงชีวิตได้ค่ะ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง 1.นม นมมีแคลเซียม โปรตีน และเหล็กที่ไปจับตัวยาบางชนิด เช่น ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด ทำให้ไม่สามารถดูดซึม ยาจะไม่ออกฤทธิ์ จึงไม่ช่วยรักษาโรค 2.กาแฟ การดื่มกาแฟร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาแก้หวัด ยาขยายหลอดลม อาจเป็นอันตราย ทำให้เกิดอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เป็นมาก ๆ อาจเกิดอาการช็อกได้ 3.น้ำผลไม้ น้ำผลไม้จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ ซึ่งน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างน้ำส้ม น้ำมะนาว ทำให้กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้มีอาการปวดท้อง 4. แอลกอฮอล์ ห้ามเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตราย โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เมโทรนิดาโซล ทินิดาโซล คีโตโคนาโซล ทำให้ร้อนวูบวาบ คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ใจสั่น และหลังกินยาจนครบตามแพทย์สั่งอย่างน้อย 3 วันจึงจะดื่มแอลกอฮอล์ได้…
พ่อแม่รักลูกทุกวันทุกเวลา รักแบบไร้เงื่อนไขด้วยใช่มั้ยคะ ในวันวาเลนไทน์นี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะย้ำเตือนถึงความรักความผูกพันที่มีต่อลูก คุณพ่อคุณแม่ที่แสดงออกน้อยหรือไม่ค่อยพูดตรง ๆ เรามีตั้ง 14 วิธีในการบอกรักลูกเอามาฝากกันค่ะ 1.กอด การกอดเป็นพลังมหัศจรรย์แทนคำบอกรัก เป็นการสื่อสารบอกรักไร้คำพูดจากคุณแม่ การกอดเพียงอย่างเดียวให้ทั้งความรัก ความอบอุ่น ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ช่วยปลอบโยนให้สงบ และให้กำลังใจลูก การกอดสร้างความผูกพันระหว่างกัน งานวิจัยหลายชิ้นบอกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการกอดจะขาดความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่มั่นใจปรับตัวเข้ากับสังคมยาก และมีพัฒนาการช้า กอดลูกบ่อย ๆ นะคะ 2.เล่นกับลูก ไม่ว่าเขาจะเป็นเบบี๋หรือโตแค่ไหนก็ตาม คุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกได้ตั้งแต่วัยแรกเกิด ดูตามพัฒนาการของเขา การเล่นกับลูกสร้างความรักความผูกพันและสร้างบรรยากาศดี ๆ ต่อกัน ลูกยังเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีผ่านการเล่นด้วยค่ะ อาจจะไม่ต้องอบรมสั่งสอนเขามากนัก ใช้สอนด้วยกิจกรรมสนุกสนานนี่แหละเวิร์ค 3.คุยกับลูก การคุยกันเป็นการสื่อสารสองทาง คุณพ่อคุณแม่พูดกับเขาเขาโต้ตอบหรือเขาเล่าเรื่องให้คุณแม่ฟัง จริง ๆ แล้วผู้ใหญ่คุยกับเด็กได้หลายเรื่องนะคะ เล่าให้เขาฟังถึงเรื่องการทำงานเรื่องความรู้รอบตัวข่าวคราวความเคลื่อนไหวความเป็นไปของโลก เรื่องใกล้ไกลตัวแค่ไหนก็คุยได้ค่ะ เพียงแต่เราเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละวัย เลือกวิธีการพูดคุยให้เป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ซีเรียสว่าจะต้องให้องค์ความรู้สาระกันอยู่ตลอดเวลา ลูกจะเบื่อแล้วไม่อยากฟัง 4.ฟังลูกให้มาก การฟังและรับฟังลูกจะช่วยให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เข้าใจเขา ให้โอกาสลูกได้พูดหรือเล่าในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเล่า เล่าถึงเรื่องที่โรงเรียน…
เวลาเลือกของเล่นให้ลูกคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมของเล่นไม้นะคะ ของเล่นไม้เป็นของเล่นที่มีประโยชน์ช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็ก เพราะฉะนั้นจึงได้รับความนิยมจากคุณพ่อคุณแม่ทั่วโลกมาโดยตลอด แล้วของเล่นไม้มีประโยชน์กับลูกน้อยอย่างไรบ้างเรามาดูกันเลยค่ะ 1.ทนทานไม่ล้าสมัย เป็นของเล่นสุดคลาสสิกถ้าเก็บไว้ดี ๆ ส่งต่อให้ลูกเล่นได้สบายเลยค่ะ ของเล่นไม้แบบพื้นฐานอย่างพวกบล็อกไม้รูปทรงต่าง ๆ เหมาะกับการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กไม่ว่ายุคไหน 2.ปรับตามวัยลูก ตอนลูกยังเล็กอาจสนุกกับการวางต่อกันแค่ 3-5 ชิ้น พอโตเพิ่มจำนวนชิ้นมากขึ้นเด็กจะต่อของเล่นได้ซับซ้อนขึ้น ต่อได้สูงขึ้น ออกมาเป็นรูปร่างตามที่ลูกต้องการ 3.ส่งเสริมจินตนาการ ของเล่นไม้รูปทรงหลากหลาย สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ทรงกลม ฯลฯ ช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกใช้จินตนาการสร้างสรรค์ด้วยการนำรูปทรงต่าง ๆ เหล่านี้มาต่อเป็นรูปร่างตามความคิดของเด็กโดยไม่มีข้อจำกัดค่ะ 4.พัฒนาการใช้มือและตาสัมพันธ์กัน ระหว่างเล่นลูกจะได้ฝึกสายตาจ้องมองของเล่นไปพร้อม ๆ กับการฝึกกล้ามเนื้อแขนมือและนิ้วมือหยิบจับชิ้นของเล่นเพื่อนำไปหยอด เรียง หรือวางต่อกัน 5.ฝึกสมอง ขณะที่ลูกกำลังสนุกเพลิดเพลินสมองของเขากำลังคิดคำนวณ กะระยะ การใช้น้ำหนักมือให้พอดี วางแผนว่าจะต่อหรือวางชิ้นไม้อย่างไร ได้คิดแก้ปัญหา เช่น ถ้าวางแล้วล้มจะแก้อย่างไร ของเล่นไม้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ มีประโยชน์ต่อลูกน้อยมากกว่าที่คิด หาซื้อง่ายแล้วราคายังไม่แพงด้วยค่ะ Tips -วิธีเลือกของเล่นไม้ให้ลูก เลือกไม้แท้จะปลอดภัยกับลูก…