ช่วงหลังคลอด เชื่อว่า แม่ ๆ คงมุ่งความสนใจไปที่ลูก จนลืมว่าคุณเองก็มีเรื่องที่ต้องดูแลใส่ใจเช่นกัน อย่าลืมตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองด้วยนะคะ 1.ตรวจเต้านม เพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ตรวจมะเร็งเต้านมหรือก้อนน้ำเหลือง โดยวิธีการคลำที่หน้าอก คุณแม่อาจคลำด้วยตัวเองจากที่บ้านก่อนได้ หากพบก้อนเล็กๆ ที่เต้านม มีลักษณะแข็งหรือปวด อาจขอคำแนะนำจากคุณหมอได้ 2.ตรวจหน้าท้อง เพื่อดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งหลังคลอด 1 เดือนคุณสามารถบริหารหน้าท้องเพิ่มความแข็งแรง และกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ หากไม่ได้ออกกำลังกายหลังคลอดจะทำให้หน้าท้องยังหย่อนและป่อง ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอด ก็ต้องตรวจแผลผ่าตัดว่าหายดีหรือยังด้วย 3.ตรวจมดลูก ช่วงตั้งครรภ์มดลูกขยายตัวขึ้นมาก ต้องตรวจมดลูกว่าหดตัวหรือที่เรียกว่าเข้าอู่แล้วหรือยัง และอยู่ในตำแหน่งเดิมภายในอุ้งเชิงกราน ช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดหรือยัง ถ้าอยากให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ก็อย่าพลาดการให้ลูกดูดนมแม่นะคะ ดูแลสุขภาพตัวเองก็สำคัญเช่นกันค่ะคุณแม่
Knowledge
ความรู้ ทั้งอัพเดท และ How to การเลี้ยงดูลูก รวมถึงการดูแลตัวเอง ฉบับคุณแม่ คุณพ่อ ยุคใหม่ ที่ครบคลุมตั้งแต่ ช่วงตั้งครรภ์ จนถึง ลูกอยู่ในวัยประถม
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด คุณแม่ควรพักผ่อนอย่างไรบ้าง อย่างน้อยควรนอนพักผ่อนช่วงกลางคืนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง ไม่ควรหยิบจับหรือยกสิ่งของหนัก เพราะเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อและมดลูกกลับคืนสู่สภาพปกติ หากคุณแม่ยกของหนัก อาจกระทบกระเทือนถึงอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานมดลูกได้ เคล็ดลับเพิ่มเวลาพัก 1.ช่วง 2 สัปดาห์แรกให้คุณพ่อหรือคนในครอบครัวช่วยดูแลลูกตอนกลางคืนแม่ได้นอนพักเต็ม ๆ ก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้น 2.หลังอาหารกลางวันอาจหาเวลาพักผ่อนให้ได้ประมาณ 30 นาที 3.เมื่อลูกหลับคุณแม่หลับด้วย แม้บางครั้งจะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็ช่วยให้แม่สดชื่นได้ 4.อย่ากังวลถึงงานการคั่งค้างมากเกินไป เลือกทำเฉพาะที่จำเป็นก่อน ขอให้แม่ ๆ ทุกท่านฟื้นตัวเร็ว ๆ นะคะ
การออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างยิ่ง คุณแม่อย่าผัดวันกระกันพรุ่งนะคะ คุณแม่คนใหม่ควรเน้นการออกกำลังกายเบา ๆ ช่วงแรก อาจเป็นการเดินหรือทำงานบ้านที่ไม่ต้องใช้แรงมากนัก เพื่อช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในให้กลับสู่สภาพปกติได้เร็ว การบริหารยืดเหยียดร่างกาย การเดิน โยคะ หรือออกกำลังกายในแบบที่ชอบแต่ไม่ใช่แบบที่หนักหน่วงเกินไป หากทำเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น คุณแม่คลอดเองสามารถเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ ได้ตั้งแต่ 2-3 วันหลังคลอด ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดควรเริ่มต้นออกกำลังหลังคลอดไปประมาณ 20 วันแล้วหรือตามคำแนะนำของคุณหมอ หากปล่อยทิ้งไว้นานหลายเดือนกว่าจะเริ่มออกกำลังกาย แม่ ๆ มักจะลดน้ำหนักยากค่ะ การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยให้น้ำหนักลด รูปร่างของแม่กลับคืนมา และยังป้องกันช่องคลอดหย่อนกระบังลมเคลื่อนอีกด้วย
การดูแลแผลหลังคลอดทั้งแผลคลอดเองและผ่าคลอด คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องความสะอาดค่ะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แผลคลอดธรรมชาติ จะมีอาการปวดแผล 3-4 วัน หรืออย่างมาก 1 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ ทุเลาลง มักหายเองภายใน1 สัปดาห์หลังคลอด หากปวดมากสามารถกินยาแก้ปวดลดได้ แต่ถ้าปวดแผลฝีเย็บมาก มีอาการบวมแดง กดแล้วเจ็บอาจเป็นเพราะฝีเย็บอักเสบควรรีบพบคุณหมอทันที ต้องหมั่นดูแลความสะอาดไม่ให้เกิดการติดเชื้อ การทำความสะอาดโดยทั่วไปคือ ทำความสะอาดแผลทุกวัน วันละ 1-2 ครั้งด้วยสบู่หรือใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออย่างอ่อนล้างกับน้ำสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพราะการล้างจากก้นมาด้านหน้า จะนำเชื้อโรคจากทวารหนักมาสู่แผลและช่องคลอด แผลผ่าคลอด ตรวจดูแผลว่า มีการปริแตกไหม ซึ่งคุณหมอจะปิดพลาสเตอร์กันน้ำมาให้ เมื่อครบกำหนดที่คุณหมอนัดก็ควรไปตามนัดเพื่อให้ตรวจแผลว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ คำแนะนำ ไม่ว่าคุณแม่จะคลอดด้วยวิธีธรรมชาติหรือผ่าคลอด การดูแลแผลหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญ เน้นเรื่องความสะอาด เพราะหากแผลติดเชื้อจากสิ่งสกปรกจะยิ่งทำให้แผลหายช้ามากขึ้น t
คุณแม่คงเคยได้รับคำแนะนำมาบ้างว่าให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มน้ำนมแม่ แล้วจะต้องดื่มมากแค่ไหนคุณแม่อาจสงสัยใช่มั้ยคะ ตรงนี้มีคำตอบค่ะ 1.ปริมาณน้ำไม่จำเป็นต้องเกินกว่าปกติมากเกินไป การดื่มน้ำเกินความต้องการของร่างกายไปมากจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า 2.ดูว่าดื่มน้ำพอเพียงต่อการให้นมลูกได้โดยดูจากปัสสาวะคุณแม่ค่ะ ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มขึ้นแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่พอเพียงต้องการน้ำเพิ่ม 3.วิธีดื่มน้ำที่เหมาะสมในแต่ละวันไม่ใช่การดื่มคราวละเป็นลิตรๆ แต่ควรดื่มทีละน้อยเป็นระยะเพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงร่างกายตลอดวัน 4.สังเกตตัวเองว่าถ้ารู้สึกกระหายน้ำบ่อยแสดงว่าร่างกายต้องการน้ำเพิ่ม 5.ระวังน้ำพวกผลไม้หรือน้ำหวานสักนิดเพราะจะทำให้คุณแม่น้ำหนักเพิ่ม น้ำเปล่าดีที่สุด 6.น้ำขิง น้ำหัวปลี แกงจืดตำลึง แกงจืดใบกะเพรา แกงเลียงจะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ การกระตุ้นโดยการให้ลูกดูดนมสม่ำเสมอและได้รับสารอาหารครบถ้วนเป็นปัจจัยสำคัญกว่ามุ่งไปที่การดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว การดื่มน้ำหลาย ๆ ลิตรไม่ได้ช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ แค่ดื่มให้พอเพียงในแต่ละวันก็พอค่ะ
วันคลอดเป็นวันที่คุณพ่อคุณแม่อาจตื่นเต้นจนอาจลืมบางอย่างหรือทำอะไรไม่ถูก ฉะนั้นการเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อมไว้เสมอจะช่วยให้ไม่ฉุกละหุกในวันไปคลอดค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้ 1.จัดกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นแม่และลูกเตรียมไว้ล่วงหน้า 2.ช่วงใกล้คลอดเช็คสภาพรถเติมน้ำมันให้เรียบร้อย 3.เตรียมเบอร์โทรโรงพยาบาล เบอร์โทรฉุกเฉินเผื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือเรียกรถพยาบาล เบอร์แท็กซี่หรือแอพ 4.ติดต่อบอกญาติหรือเพื่อนที่อยู่ใกล้ไว้ล่วงหน้า เผื่อติดขัดขอความช่วยเหลือหรือให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล 5.พยายามเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้าน นึกถึงกรณีเจ็บท้องคลอดในช่วงเวลารถติดไว้ด้วยค่ะ 6.เมื่อมีอาการเตือนว่าจะคลอดแล้ว มีมูกเลือด น้ำคร่ำเดิน เจ็บท้องมากขึ้นและถี่ขึ้น คุณแม่อาจงดน้ำและอาหารเผื่อจำเป็นต้องผ่าคลอดจะได้สะดวกค่ะ 7.เตรียมใจ ฝึกผ่อนคลายและฝึกการหายใจเข้าออกช้า ๆ จะช่วยลดความกังวลในวันคลอดได้ดีค่ะ คุณพ่อก็ฝึกด้วยได้นะคะ การเตรียมพร้อมคุณแม่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีสติและไม่เครียดมากเกินไป เพราะวันนี้จะเป็นวันสำคัญที่คุณแม่รอคอยต้อนรับสมาชิกคนใหม่ในครอบครัวค่ะ
ในช่วงเดือนสุดท้ายใกล้คลอดคุณแม่เฝ้าระวังและระแวงอยู่ใช่มั้ยคะว่าอาการเจ็บท้องที่เกิดขึ้นเจ็บจริงหรือเจ็บหลอก ก็จะไม่ต้องไปโรงพยาบาลเก้อ หรือเจ็บจริงขึ้นมาก็จะไปโรงพยาบาลทันท่วงที มาสังเกตอาการกันค่ะจะได้แยกออกว่าอาการเจ็บท้องจริงกับเจ็บหลอกต่างกันยังไงบ้าง เจ็บท้องหลอกหรือเจ็บท้องเตือน 1.ระยะเวลาเจ็บไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้าง เจ็บมากบ้างหรือน้อยบ้าง หรือเจ็บติด ๆ กันหลายครั้งแล้วหยุดไป 2.เคลื่อนไหวตัวหรือลุกขึ้นมาเดินก็จะดีขึ้น 3.ไม่มีมูกปนเลือด หรือไม่มีเลือดออกมาจากช่องคลอด 4.เจ็บอยู่ตรงบริเวณท้อง เจ็บท้องคลอดของจริง 1.เจ็บท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ็บสม่ำเสมอ เจ็บถี่ขึ้น 2.ท้องแข็งตึง 3.เคลื่อนไหวตัวหรือเดินจะเจ็บมากขึ้น และเจ็บทุก ๆ 10 นาที 4.มีมูกหรือมูกปนเลือดออกมาทางช่องคลอดออกมา ถ้ามีอาการ 4 ข้อหลังข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม โทรแจ้งทางโรงพยาบาลแล้วเตรียมตัวเดินทางไปคลอดได้แล้วค่ะ
คุณแม่มีคำถามอยู่ในใจใช่มั้ยคะว่าจะคลอดเองหรือจะผ่าคลอดดี มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการคลอดมาฝากค่ะ 1.ความปลอดภัย - ถ้าคุณหมอบอกว่าร่างกายคุณแม่ปกติดีไม่มีปัญหา การเลือกคลอดเองจะปลอดภัยกว่าทั้งกับแม่และลูกมากกว่า 2.ฟื้นตัวเร็วกว่า – การคลอดเองฟื้นตัวเร็วกว่าผ่าตัดคลอด 1-2 วันก็เริ่มลุกเดินได้แล้ว มดลูกไม่มีแผลผ่าตัด การผ่าคลอดใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ 3.ความเจ็บปวด – การคลอดเองจะเจ็บปวดช่วงใกล้คลอดและขณะคลอด ซึ่งให้ยาลดอาการปวดได้ พอผ่านพ้นการคลอดไปแล้วก็จะไม่เจ็บนานอย่างการเจ็บแผลผ่าตัดคลอด แผลผ่าคลอดใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะหาย 4.ดีต่อลูกมากกว่า – การคลอดเองปอดลูกจะถูกบีบออกเมื่อตัวเด็กผ่านทางช่องคลอดลดปัญหาน้ำคร่ำคั่งค้างในปอด และ ได้รับแบคทีเรียชนิดดีที่เป็นprobioticระหว่างการคลอดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 5.รู้เวลาคลอดแน่นอน – การผ่าคลอดจะรู้วันเวลาแน่นอนเพราะกำหนดได้ การคลอดเองใช้เวลารอนานกว่าจะถึงช่วงการคลอดและกำหนดวันแน่นอนไม่ได้ 6.ความเสี่ยง – คลอดเองอาจเสี่ยงกับภาวะบางอย่าง เช่น ปากมดลูกไม่เปิด หรือเปิดช้า หัวใจเด็กเต้นช้า ฯลฯ ผ่าคลอดเสี่ยงจากดมยาสลบหรือบล็อกหลัง การเลือกคลอดเองหรือผ่าคลอด น่าจะเป็นการเลือกตามความเหมาะสมและความจำเป็น ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย น่าจะเป็นเหตุผลที่ช่วยแม่ตัดสินใจได้ดีค่ะ
คุณแม่ตั้งครรภ์กำลังจะเลือกใช่มั้ยคะว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอดดี ความจริงแล้วการเลือกวิธีไหนน่าจะคำนึงถึงความเหมาะสมและความปลอดภัยเป็นหลักค่ะ ถ้าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ฝากครรภ์พบคุณหมอตามนัดคุณหมอบอกว่าคลอดเองได้ การคลอดเองจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าค่ะ การคลอดเองจะดีกับตัวคุณแม่เพราะฟื้นตัวเร็ว ลดโอกาสเสี่ยงอันตรายจากการดมยาและผ่าตัดลงไป และ ยังดีต่อการทำงานของปอดและภูมิคุ้มกันระบบทางเดินอาหารและสำไส้ของลูก WHO หรือองค์การอนามัยโลกรายงานว่าแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัดทำคลอดมีความเสี่ยงอันตรายสูงกว่าการคลอดปกติถึง 3 เท่า การผ่าคลอดควรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คุณหมอแนะนำให้ผ่าเพราะภาวะร่างกายคุณแม่มีความจำเป็นต้องผ่าคลอดค่ะ เช่น เด็กตัวโตเกินไป เด็กไม่อยู่ในท่าปกติ แม่อุ้งเชิงกรานเล็ก ปากมดลูกเปิดไม่มากพอ ท้องลูกแฝด รกเกาะต่ำขวางการคลอด แม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ครรภ์เป็นพิษ รกลอกตัวก่อนกำหนด ติดเชื้อในมดลูก ฯลฯ แม่มีโรคบริเวณช่องคลอด เช่น เริม หูดหงอนไก่ มะเร็งปาดมดลูก ฯลฯ แม่ตกเลือดก่อนคลอด เสียงหัวใจลูกเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ ปากมดลูกเปิดน้อยหรือเปิดช้า เคยผ่าตัดมดลูกแล้วคุณหมอลงความเห็นว่าควรผ่าคลอด ฯลฯ การผ่าคลอดมีความเสี่ยงหลายประการ การฟื้นตัวและแผลผ่าตัดกว่าจะหายใช้เวลานานกว่ากัน คุณแม่ควรหาข้อมูลรอบด้าน ปรึกษาคุณหมอ เลือกผ่าคลอดเพราะเหตุผลทางการแพทย์และความปลอดภัยเป็นหลักค่ะ
คุณแม่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 35 ปีมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองเพื่อแม่และลูก และยังต้องพบคุณหมอตามนัดด้วยนะคะ คุณแม่อาจได้รับการตรวจพิเศษตามคำแนะนำของคุณหมอ เช่น ตรวจอัลตร้าซาวด์ เจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ ตรวจชิ้นเนื้อรก เป็นต้น การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแม่ทุกวัยรวมทั้งแม่ท้องในวัย 35 ปีขึ้นไป ซึ่งคุณแม่สามารถทำได้ไม่ยากเลยค่ะ 1.พบคุณหมอตามนัดสม่ำเสมอ นอกจากตรวจสุขภาพครรภ์คุณหมอจะให้คำแนะนำรวมทั้งให้วิตามินเสริมที่จำเป็น เช่น กรดโฟลิก 2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมทั้งปริมาณและสารอาหารครบ 5 หมู่ 3.เลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาแฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ เลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่สูบบุหรี่ 4.พยายามควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง 5.ปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ยา หรือใช้ยาอยู่ก่อนตั้งครรภ์ก็ควรปรึกษาคุณหมอค่ะ 6.ปรึกษาคุณหมอเรื่องการออกกำลังกายที่เหมาะกับแม่ท้องและออกกำลังกายเป็นประจำ 7.พักผ่อนนอนหลับให้พอเพียง หลีกเลี่ยงความเครียด ถ้าเครียดให้ผ่อนคลายในแบบที่คุณแม่ชอบแต่ต้องไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ การเอาใจใส่สุขภาพตัวเองจะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์คุณภาพอย่างมีความสุขและลดโอกาสเกิดปัญหาด้วยค่ะ