เมื่อลูกๆ เริ่มโตขึ้น ฟันเริ่มทยอยขึ้นครบทุกซี่ ปัญหาที่สร้างความหนักใจรองจากเรื่องดูแลรักษาฟันในเด็กก็คือ จะทำยังไงดีให้ลูกยอมออกไปพบหน้าหมอฟัน และเพื่อให้ลูกของเราเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อการหาหมอฟันไปตลอดกาลนั้น คนเป็นพ่อแม่ต้องทำยังไงบ้างนั้น มาดูเทคนิคนี้กัน สุดง่าย แถมได้ผลทันตาเห็นกันเลย! 1. เฟ้นหาสถานที่ไม่ต้องไกลมาก หากใครไม่เคยคำนึงถึงประเด็นนี้มาก่อนล่ะก็ ต้องเตรียมหาข้อมูลกันให้หนักเลยนะแม่ๆ เพราะเด็กเค้าไม่ชอบนั่งรถนานๆ อยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าปลายทางข้างหน้าต้องไปพบกับคุณหมอฟันด้วยนะ ยิ่งงอแงเข้าไปใหญ่ ดังนั้น การเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่เดินทางสะดวก และมีมุมของเล่นเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ลูกได้ ยิ่งดีใหญ่เลย เพราะเค้าจะลืมความกลัวที่อยู่ตรงหน้า และเพลิดเพลินไปกับกองของเล่นของทางโรงพยาบาลซะแทน 2. พูดปลอบให้ลูกรู้สึกดี ห้ามเด็ดขาด! กับคำพูดที่ส่อถึงความน่ากลัวหรือเรื่องโหดร้าย ที่จะทำให้ลูกของเรานั้น ขยาดกับการมาหาหมอฟันไปอีกยาว ซึ่งเทคนิคการพูดนั้น ง่ายนิดเดียว แค่พูดยังไงก็ได้ให้ลูกรู้สึกดี เช่น ให้หมอส่องฟันดูนิดเดียวนะลูก หลับตายังไม่ถึง 2 นาทีเองก็เสร็จแล้วล่ะ อะไรทำนองนี้ ก็จะทำให้ลูกอุ่นใจขึ้นได้มากแล้วล่ะ 3. เข้าไปให้กำลังใจถึงในห้องหมอกันไปเลย หากลูกน้อยต้องการให้เราเข้าไปในห้องคุณหมอด้วยนั้น คุณพ่อคุณแม่ห้ามปฎิเสธเด็ดขาดเลย เพราะการเข้าไปให้กำลังใจถึงในห้องนั้น เด็กๆ จะรู้สึกอุ่นใจ ต่อให้ต้องอยู่กับคุณหมอนานเท่าไหร่ ลูกก็จะทนต่อไปได้ เพราะตรงนั้น…
Knowledge
ความรู้ ทั้งอัพเดท และ How to การเลี้ยงดูลูก รวมถึงการดูแลตัวเอง ฉบับคุณแม่ คุณพ่อ ยุคใหม่ ที่ครบคลุมตั้งแต่ ช่วงตั้งครรภ์ จนถึง ลูกอยู่ในวัยประถม
จะว่าเป็นความมักง่ายก็ไม่เชิง เมื่อฟาร์มเลี้ยงไก่สมัยนี้ มักฉีดฮอร์โมนเพื่อเร่งให้ไก่โตเร็วทันใจ พร้อมออกขายสู่ตลาดได้รวดเร็ว อีกทั้งการฉีดฮอร์โมนในไก่ ยังทำให้ไก่ดูน่าทานยิ่งขึ้นอีกด้วย แต่มันกลับส่งผลร้ายแรงต่อมนุษย์มากกว่าที่เราคิด เพราะการรับฮอร์โมนจากการทานไก่มากไป จะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา ไม่ว่าจะเป็นซีส หรืออาการ “สาวไวผิดปกติ” ในหมู่ผู้หญิง แล้วไก่ในไทยล่ะ มีการเร่งฮอร์โมนจริงมั้ย หรือพอจะมีส่วนไหนของไก่ที่เราต้องระวังห้ามทานเป็นพิเศษ มาดูกัน! สรุปแล้ว การทานไก่ฉีดฮอร์โมน อันตรายจริงหรือไม่ ถ้าต้องพูดถึงการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่นั้น ความจริงคือมันอันตรายต่อผู้บริโภคจริงๆ แต่ในประเทศไทยนั้น ได้ทำการทำข้อตกลงระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2542 ห้ามฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่แล้ว และเนื่องจากการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในไก่มีราคาสูงมากๆ ทำให้เจ้าของฟาร์มไก่ในประเทศไทยนั้น มักไม่นิยมฉีดฮอร์โมนในไก่มากเท่าไหร่ ดังนั้น ไก่ที่เราบริโภคในทุกๆ วันนี้ จึงยังไม่น่ากลัวจนถึงขั้นต้องเลิกทาน เพียงแต่ทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร และหลีกเลี่ยงการทานเนื้อไก่ในส่วนที่เค้าต้องห้ามทานจะดีที่สุด ส่วนไหนของไก่ที่ต้องห้ามทาน และส่วนไหนบ้างที่เป็นมิตรต่อร่างกาย! เนื่องจากฟาร์มเลี้ยงไก่แต่ละแห่ง มีมาตรฐานการเลี้ยงไก่และป้องกันสารพิษแตกต่างกันออกไป ทำให้บางฟาร์มก็อาจจะมีสารพิษหรือยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในไก่ติดตัวออกมาบ้าง ในส่วนของปีกไก่ คอไก่ และหัวไก่ ถือเป็นส่วนที่มีมันเยอะมาก ทำให้สารเคมีและสารพิษมักจะเกาะกินและฝังตัวอยู่ในบริเวณตรงส่วนเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้อันตรายก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้น ใน 3…
ฝนที่ตกลงมาในช่วงฤดูฝนนี้ อากาศเปลี่ยนแปลง เริ่มเย็นลง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีโอกาสป่วยเป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบปี เพราะร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ ทำให้ป่วยง่ายและงอแงมากกว่าปกติ แก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ ปลอดภัยกว่า อาการในเบื้องต้นของบรรดาโรคฮิตที่เด็กเล็กเป็นกันมากคือ อาการคัดจมูก น้ำมูกเหนียวข้น เมื่อน้ำมูกไปอุดตันส่งผลให้ลูกน้อยหายใจลำบาก ที่สำคัญ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเกิดภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ยิ่งหากเป็นทารกแรกคลอด อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่กังวลใจเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับอาการของลูกน้อยอย่างไรดี จริงๆ แล้วมีวิธีรับมือสำหรับอาการคัดจมูก หรือน้ำมูกเหนียวข้นที่ไปอุดตันการหายใจของลูกน้อย หนึ่งในวิธีแก้ไขที่ง่าย ปลอดภัยและได้ผลดีคือการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ล้างจมูก ประโยชน์เยอะ การล้างจมูกเป็นการใช้น้ำเกลือเข้าไปช่วยทำความสะอาดโพรงจมูก ชะล้างน้ำมูก คราบเหนียวต่างๆ รวมทั้งหนองบริเวณโพรงจมูกที่ลูกน้อยไม่สามารถกำจัดได้ด้วยตัวเอง ช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นระคายเคือง ลดการอักเสบในจมูก เยื่อบุจมูกยุบบวม…
การอ่านหนังสือนิทานให้ลูกน้อยฟัง
เป็นวิธีใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวที่อบอุ่นและช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างดีเยี่ยม
เป็นการพาลูกน้อยท่องโลกกว้างผ่านตัวอักษร อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน
ซึ่งการอ่านจะช่วยให้เขาเข้าใจโลกและผู้คนได้ง่ายขึ้น ประโยชน์ของการอ่านนิทานให้ลูกฟัง การอ่านนิทานมีประโยชน์ในการช่วยพัฒนาสายสัมพันธ์อันใกล้ชิด
ถ้าคุณพ่อคุณแม่โอบกอดเขาไว้บนตักขณะอ่านไปด้วย
ลูกจะรับรู้ได้ถึงความรักความเอาใจใส่ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการทางด้านอารมณ์และการเข้าสังคม
แม้จะอยู่ในวัยที่เด็กยังไม่สามารถโต้ตอบได้ แต่ถ้อยคำต่างๆ ที่ได้ยิน
ล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะการใช้ภาษาให้ดียิ่งขึ้นในภายหลัง
และทักษะด้านภาษาที่ดีก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้เด็กๆ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเริ่มอ่านนิทานให้ลูกฟังตอนไหนดี ช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์จนถึงอายุ
8 ปี
เป็นช่วงเวลาที่สมองมนุษย์เติบโตและพัฒนารวดเร็วที่สุด ดังนั้น
เราจึงเริ่มอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังได้ตั้งแต่ที่เขายังอยู่ในท้อง
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ถือกำเนิด ลูกน้อยก็รักการฟังเสียงของคุณพ่อคุณแม่
ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องเพลง เสียงพูดคุย หรือเสียงเล่านิทาน
ซึ่งมีงานวิจัยระบุว่ายิ่งอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังเร็วเท่าไร
ก็ยิ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กๆ เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น
เด็กแรกเกิดอาจยังไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูด
แต่จังหวะและโทนเสียงที่แตกต่าง ก็มีส่วนในการช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการฟังซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ควรอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างไร ช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์
คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกอ่านหนังสือหรือคอนเทนต์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่สนใจได้ตามชอบ
หากคุณพ่อคุณแม่เพลิดเพลินกับสิ่งที่อ่าน
ลูกน้อยก็มีแนวโน้มที่จะสนุกไปด้วยเช่นกัน ต่อมาเมื่อลูกน้อยโตขึ้น เริ่มมีพัฒนาการด้านการมองเห็น
เขาจะสนใจหนังสือภาพที่มีสีสันสดใสลายเส้นคมชัด ซึ่งบางทีอาจหยิบจับหรือเอาเข้าปาก
จึงควรเลือกหนังสือที่แข็งแรงไม่ฉีกขาดง่าย เวลาเลือกซื้อหนังสือนิทาน
ควรเลือกเล่มที่มีฟังก์ชันสนุกๆ ซ่อนอยู่ เช่น สามารถเปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อดูภาพที่ซ่อนอยู่ในนั้น
และหากมีเพลงประกอบด้วยก็จะยิ่งดี เพราะเพลงเป็นสิ่งที่จดจำง่ายและทำให้เด็กๆ
สนุกมากขึ้น เคล็ดลับเกี่ยวกับการอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟัง ข้อแรกคือ การฟังซ้ำๆ
จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดี ดังนั้น จึงควรเลือกนิทานที่มีคำซ้ำเยอะๆ
หรืออ่านนิทานเรื่องโปรดให้เขาฟังบ่อยๆ โดยเปลี่ยนโทนเสียงไปตามอารมณ์ของเนื้อหา
อาจจะลองดัดเสียงตามคาแรกเตอร์ตัวละครด้วย เพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก ข้อที่สอง ตั้งคำถามกับลูกน้อย
แม้ลูกยังเด็กเกินกว่าจะโต้ตอบกับเราได้
แต่เราก็สามารถกระตุ้นพัฒนาการของเขาด้วยคำถามง่ายๆ เพราะการโต้ตอบมีส่วนช่วยให้เด็กจดจำและเข้าใจความหมายคำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น
เช่น ในภาพนี้มีลูกบอลอยู่สองสี ลูกชอบสีไหนมากกว่ากัน เป็นต้น เปิดนิทานในไอแพดให้ลูกฟังดีไหม ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า
ไม่ควรให้เด็กดูทีวีหรือใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนอายุสองขวบ
เพราะสื่อเหล่านี้มักมีฟังก์ชันที่อื่นๆ ที่ทำให้สมาธิของเด็กเบี่ยงเบนออกจากเนื้อเรื่อง
ยิ่งหากปล่อยให้ลูกดูหรืออ่านนิทานตามลำพังบ่อยๆ
เด็กก็มีแนวโน้มที่จะสนใจไอแพดมากกว่าคุณพ่อคุณแม่
ถ้าจะให้ลูกดูไอแพดควรจำกัดเวลาครั้งละไม่เกิน 10-15 นาที และควรนั่งดูกับเขาเพื่อพูดคุยระหว่างที่ดูไปด้วย
เช่น ทำเสียงตลกซ้ำๆ เลียนแบบคลิป เต้นตามท่าทางตัวละคร
เป็นต้น สอนสะกดคำในระหว่างอ่านนิทานดีไหม
การอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังครั้งแรกๆ
ควรทำให้เขารู้สึกสนุกกับเรื่องราวอย่างเต็มที่ และมีความสุขที่ได้แบ่งปันช่วงเวลาดีๆ
ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่…
เมื่อเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ
น้อยๆ ขึ้นกับลูกวัยกำลังซน เช่น หกล้ม เดินชนโต๊ะ ฯลฯ
คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักแสดงปฏิกิริยาตกอกตกใจออกมาโดยอัตโนมัติ
ตามสัญชาตญาณความห่วงใยที่มีต่อลูก ขณะเดียวกันเด็กๆ
ก็มักจะมองหาคุณพ่อคุณแม่ทันทีที่รู้สึกเจ็บ กลัว หรือตกใจ
ด้วยเหตุนี้ท่าทีที่ผู้ปกครองแสดงออก
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดว่าเด็กน้อยจะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร หากคุณพ่อคุณแม่โวยวายเสียงดัง
เด็กจะรู้สึกว่าการหกล้มเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งนั่นอาจทำให้เขายิ่งร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น
ดังนั้น อันดับแรกผู้ปกครองจึงไม่ควรโวยวาย
แม้จะรู้สึกใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มก็ต้องสงบสติอารมณ์ไว้
เพื่อแสดงออกให้ลูกรับรู้ว่าการหกล้มเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต
เมื่อล้มแล้วก็สามารถลุกขึ้นใหม่ได้ นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ ยังไม่ควรซ้ำเติมลูกด้วยการตำหนิว่าไม่ระมัดระวังหรือซุกซนเกินเหตุ
เพราะเขาอาจสูญเสียความมั่นใจและรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ถ้าเด็กๆ
ล้มโดยไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก คุณพ่อคุณแม่ควรยืนมองอยู่ห่างๆ และคอยให้กำลังใจ
เมื่อเขาสามารถลุกขึ้นเองได้ ก็เอ่ยปากชมสักหน่อยว่า “เก่งมากๆ เลยนะลูก
ที่ล้มแล้วลุกขึ้นเองได้” แต่ถ้าลูกร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บ
ก็ไม่ควรไปโกหกว่า “ไม่เจ็บหรอก
ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” เพราะเด็กจะรู้สึกว่าเขาถูกปฏิเสธตัวตนและไม่ได้รับการยอมรับความรู้สึก
อาจทำให้เขายิ่งร้องไห้และไม่กล้าบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคุณพ่อคุณแม่ในครั้งต่อๆ
ไปที่เกิดปัญหา สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือการโอบกอดและปลอบโยนโดยไม่โอ๋มากเกินไป
ไม่ต้องบอกเขาว่าจะตีพื้นหรือโต๊ะที่ทำให้หนูเจ็บ
หรือกล่าวโทษพี่เลี้ยงที่ดูแลไม่ดี เพราะยิ่งจะเป็นการปลูกฝังนิสัยโทษคนอื่นเมื่อเกิดความผิดพลาด
แค่ถามลูกว่าเขาโอเคไหม
อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของหนู
และไม่นานความเจ็บนี้ก็จะหายไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งถ้าไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง
ร้องไห้ไม่กี่นาทีเดี๋ยวเด็กๆ ก็กลับไปวิ่งปร๋อได้แล้ว
สิ่งสำคัญในการประคับคองลูกน้อยยามหกล้ม คือการสอนให้เขาตระหนักว่าถ้าล้มแล้วจะเจ็บ
ครั้งต่อไปต้องระมัดระวังมากขึ้น รวมถึงสร้างความมั่นใจให้ลูกรู้สึกว่าเขาเก่งพอที่จะลุกขึ้นใหม่ได้ด้วยตัวเอง
ไม่ว่าในอนาคตจะต้องหกล้มอีกกี่ครั้ง
หรือต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ก็ตาม
สาวๆ
ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ช่วงวัยใดหรือสถานภาพอะไร
มักรักสวยรักงามและชอบดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ หลายคนเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์
อาจเกิดความกังวลใจ จะทำนั่นดีไหม ทำนี่ดีหรือเปล่า และคำถามที่ว่า
“ฉันแต่งหน้าได้ไหม หรือเปลี่ยนสีผมได้หรือเปล่า”
ก็เป็นคำถามที่บรรดาว่าที่คุณแม่มักสงสัยอยู่เสมอๆ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
ระหว่างตั้งครรภ์ ระบบต่างๆ
ในร่างกายจะมีการปรับสภาพเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลักๆ
ก็คือเรื่องของฮอร์โมน ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบเมตาบอลิซึม และระบบภูมิคุ้มกัน
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านผิวหนังที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอก เช่น หน้าท้องลาย
ผิวนูนขึ้นมาคล้ายใยแมงมุม บริเวณแขน ขา และใบหน้า มีสิวฝ้าเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนสุดท้ายสิวอาจขึ้นเยอะเป็นพิเศษ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงและหายเองได้หลังคลอด หลายคนรู้สึกหมดความมั่นใจเมื่อต้องพบกับสภาพที่เปลี่ยนไป
อาจต้องการที่จะหาวิธีเรียกความสวยงามให้กลับคืนมา
ซึ่งการเสริมสวยเพื่อเติมความมั่นใจนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ผิดกติกาว่าที่คุณแม่
เพียงแต่สิ่งสำคัญคือต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สารเคมีบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อย
และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามที่เราไม่มั่นใจว่าปลอดภัย
100% หรือไม่
ข้อควรระวังได้แก่ การใช้ยารักษาสิว ยากลุ่มวิตามินเอ (Ratinol) หรือ Isotretinoin
และ Tretinoin เป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะกินหรือทาก็ต้องงดไปก่อนเพราะอาจส่งผลต่อความพิการของทารกได้
ยาอีกตัวที่ใช้รักษาสิวกันมาก
แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในช่วงเดือนที่ 4-9 ของการตั้งครรภ์คือ Doxycycline เพราะยาจะส่งผลให้ทารกมีสีฟันผิดปกติ หากมีคลินิกรักษาสิวเป็นประจำอยู่แล้ว
ควรแจ้งแพทย์ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ทางคลินิกจะได้ปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม การบำรุงผิว ขณะตั้งครรภ์ว่าที่คุณแม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ตามปกติ
แต่เพื่อความปลอดภัยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และมีมาตรฐานรับรองชัดเจน
ไม่ควรมีสารเคม ระวังอย่าใช้ครีมชนิดใหม่ที่ไม่เคยใช้เพื่อป้องกันการแพ้
ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนนเพราะสามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้รวมถึงหลีกเลี่ยงสารปรอทที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท การแต่งหน้า ว่าที่คุณแม่สามารถแต่งหน้าเขียนคิ้วทาปากได้เหมือนเดิม
เพียงแต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า คนท้องจะสิวขึ้นง่ายกว่าปกติ จึงควรระวังเกี่ยวกับส่วนผสมของเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน
และต้องทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดทุกครั้งหลังแต่งหน้า และควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน
ต้องมั่นใจว่าเครื่องสำอางนั้นปลอดภัยและเชื่อถือได้ 100% ก่อนนำมาใช้กับผิวหน้า การทำสีผม จริงๆ แล้วการที่สารเคมีย้อมผมจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นไปได้น้อยมากๆ
จึงแทบไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ แต่หากไม่จำเป็นก็ควรเลี่ยงความเสี่ยงไปก่อน
เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่บ่งชี้ผลกระทบในระยะยาว หากต้องการเปลี่ยนสีผมจริงๆ แพทย์มักแนะนำว่าควรรอให้เลยช่วงอายุครรภ์
3 เดือนแรกไปก่อน ความสวยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงมีสุขภาพจิตดีและรู้สึกมีความสุข
ในระหว่างตั้งครรภ์ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มีความสุขอยู่เสมอ…
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าในยุคนี้การใช้มือถือ สมาร์ทโฟน ไอแพด เป็นเรื่องปรกติมากๆ ของการใช้ชีวิต และหลายๆ ครอบครัวก็มักให้ลูกได้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นเหมือนของเล่นอีกชิ้น จนบางครั้งลูกกลายเป็นเด็กติดจอ และเกิดปัญหาด้านพัฒนาการการเติบโตเลยทีเดียว ซึ่งที่จริงแล้วหากคุณพ่อคุณแม่สามารถจัดการบริหารเวลา และควบคุมการใช้ของลูกได้อย่างดี เทคโนโลยีเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ได้มากเช่นกัน ผลเสียของการที่ลูกติดจอ สายตา เรื่องนี้ถือเป็นผลกระทบหลัก และส่งผลโดยตรง เพราะการใช้สมาร์ทโฟนของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี มักเป็นลักษณะการจ้องมองในระยะที่ใกล้มากๆ จนเกิดภาวะที่เรียกว่า “ตาเพ่งค้าง” อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว ตาพร่าได้ หรือที่เรียกว่าสายตาสั้นเทียมชั่วคราวได้ หรือถ้าจ้องจอนานๆ ติดต่อกัน และทำเป็นประจำก็อาจเกิดเส้นประสาทตาอักเสบได้ สมาธิสั้น เคยมีงานวิจัยจากอเมริกาออกมาว่า หากลูกเล่นสมาร์ทโฟน ไอแพดนานขึ้น 1 ชั่วโมง จะทำให้มีความเสี่ยงปัญหาเด็กสมาธิสั้นเพิ่มขึ้นถึง 9% เลยทีเดียว เนื่องจากรับข้อมูลจากหน้าจอที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาการใช้สมองในส่วนความทรงจำลดลง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรับข้อมูลจากหน้าจอไปนานๆ ด้วยสีสันที่สดใสตลอดเวลา เมื่อมาใช้ชีวิตปรกติอาจเกิดความรู้สึกเบื่อ และไม่สนใจสิ่งรอบตัวได้ พัฒนาการช้า ช่วงวัยของเด็กที่ยังต้องเติบโต และมีพัฒนาการด้านต่างๆทั้งร่างกาย การเข้าสังคม หากปล่อยให้ลูกใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไป อาจส่งผลทำให้ขาดทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น พูดคุย และเข้าสังคมได้ยาก เพราะการจ้องจอนั้นเด็กๆ…
คุณพ่อคุณแม่ที่มองว่า เรื่องของการปลูกฝังการใช้เงินในเด็กเป็นเรื่องไกลตัว ไว้โตค่อยสอนก็ได้ จะบอกว่าความคิดนี้ควรจะล้มเลิกโดยด่วน เพราะการสอนให้ลูกใช้เงินเป็น ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น ถือเป็นรากฐานการฝึกลูกให้ใช้เงินเป็นได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเมื่อเค้าเติบใหญ่ขึ้น เค้าก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ ที่ใช้เงินยังชาญฉลาด จนรวยแซงหน้าพ่อแม่ไปโดยปริยาย 1. สอนลูกให้ใช้เงินเป็น สอนให้ลูกหัดเก็บเงินที่เหลือจากค่าขนมในแต่ละวัน และไม่ตามลูกเด็ดขาด ในกรณีที่ลูกอยากได้ของที่ไม่จำเป็น ก็ต้องสอนให้เค้ารู้จักเก็บเงิน ถ้าอยากได้ ให้พยายามเก็บเงินให้ถึงเป้า แล้วพ่อกับแม่จะพามาซื้อ เพราะถึงตอนนั้น ลูกอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ว่าเคยอยากจะซื้อมัน 2. ลูกต้องแยกแยะให้เป็นระหว่าง “ความจำเป็น” กับ “ความอยากได้” อย่ามองว่าเด็กไม่รู้เรื่องนะ เพราะเมื่อเค้าถึงวัยที่แสดงความอยากได้อยากมีเป็นแล้วล่ะก็ พ่อแม่ต้องฝึกให้ลูกมีตรรกะแยกให้ออก ว่าของที่ลูกจะซื้อนั้น ลูกจำเป็นต้องมีมันหรือไม่ ถ้ำเป็น พ่อเม่จะให้ซื้อ แล้วนิสัยแบบนี้จะติดตัวพวกเค้าไปจนโต 3. บอกแนวทางเก็บเงินให้มีผลงอกเงย เค้าทำกันยังไง เนื่องจากสมัยนี้ เก็บเงินในบัญชีธนาคาร ได้ดอกเบี้ยมากินเป็นผลตอบแทน ปีนึงยังไม่ถึง 500 บาทเลย เราก็จะต้องพร่ำสอนลูกให้ฝึกลงทุนกับการเล่นหุ้นหรือซื้อกองทุนประกันต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วนะ ว่าลงทุนกับอะไร ถึงจะได้ผลเป็นกอบเป็นกำกลับมา จะได้มาเป็นไกด์นำทางให้ลูกได้…
ถึงแม้ว่าชื่อของไวรัสเมิร์สคอฟ จะยังเป็นชื่อแปลกและใหม่สำหรับคนไทยหลายๆ คน แต่สำหรับในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ก็ได้เสียน้ำตาให้กับมันไปแล้วนักต่อนัก เพราะมันคือไวรัสตัวร้าย ที่ใครๆ ก็ต่างกลัว โดยเฉพาะกับเด็ก เพราะได้รับการประกาศศักดาออกมาแล้วว่า มันคือไวรัส ที่ยังไม่มียาสักตัว ที่สามารถขจัดมันได้ ฟังแล้วก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่ามันจะยังเดินมาไม่ถึงประเทศไทยของเราก็เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้จะดีกว่านะทุกคน ไวรัสเมิร์สคอฟ มาจากไหน ไวรัสเมิร์สคอฟ หรือโรคไข้หวัดอูฐ เป็นโรคที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบตะวันออกกลาง โดยพบเชื้อนี้ได้โดยตรงในค้างคาวและเลือดอูฐ ซึ่งอาศัยการติดต่อกันได้ผ่านคนสู่คนทางน้ำลายและน้ำมูก ซึ่งอาการนั้น หลายๆ คนมักแยกไม่ออกระหว่างอาการไข้หวัดธรรมดากับไข้หวัดอูฐ ทำให้มันถูกขนานนามว่าเป็นโรคที่น่ากลัวโรคหนึ่งเลยล่ะ เพราะเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วนั้น จะนำไปซึ่งการเสียชีวิตได้มากถึง 70% เพราะยังไม่มียาตัวใดเอามันอยู่นั่นเอง จะสังเกตตัวเองยังไง เมื่อรู้ว่าเป็นโรคไข้หวัดอูฐ อาการของไข้หวัดอูฐ ในช่วงแรกๆ มักมีอาการคล้ายๆ เป็นโรคไข้หวัด จากนั้นจะเริ่มมีการไข้สูง หายใจหอบ หายใจติดขัด และติดต่อได้ง่ายมากๆ ผ่านการไอและจาม และเมื่อไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการไม่ทัน ก็จะเป็นหนักขึ้น จนเชื้อกระจายเข้าสู่ปอด ไตวาย เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและเสียชีวิตลงในทันที ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อนี้ได้ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง…
ในยุคสมัยนี้ คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ คงรู้จักใกล้ชิดกันดีกับคำว่า “Homeschool” ทำให้หลายๆ บ้านต่างก็อยากลองให้ลูกของเรานั้น ได้มาคลุกคลีกับการเรียนกับโฮมสคูลมากขึ้น ซึ่งเราจะมาบอกเล่าให้พ่อๆ แม่ๆ ได้รู้กันว่า แท้จริงแล้ว Homeschool ดีจริงมั้ย? แล้วถ้าอยากให้ลูกโฮมสคูลดูบ้างล่ะ ต้องเตรียมตัวยังไง มาทำความรู้จักพร้อมๆ กันเลย! Homeschool คือ? โฮมสคูลหรือแปลกันแบบตรงๆ ก็คือ การเรียนที่บ้าน เน้นพัฒนาทักษะชีวิต เพื่อโตเป็นผู้ใหญ่ที่เก่งแบบรอบด้าน และพร้อมแก้ปัญหาในชีวิตได้ด้วยตนเอง แล้วโฮมสคูล ดีจริงมั้ย ต้องบอกว่าดีมากๆ เลยล่ะ เพราะเด็กจะได้เรียนแบบตัวต่อตัวกับพ่อแม่ หรือติวเตอร์ในบรรยากาศการเรียนการสอนที่อบอุ่น แถมพ่อแม่ยังเลือกจัดตารางเรียนได้เอง และสรุปผลแบบประเมินตามหลักสูตรถูกต้องตามหลักการศึกษา โดยเลือกเรียนได้ตามอัธยาศัยและเทียบโอนผลการศึกษาได้แบบการเรียนปกติอีกด้วย ขั้นตอนแรกเริ่ม Homeschool โดยคุณพ่อคุณแม่จะได้เป็นตัวหลักในการจัดการศึกษาของลูกได้เอง โดยแบ่งได้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปจนถึงมัธยมศึกษา และสามารถไปจดทะเบียนตามสถานที่ที่แต่ละระดับชั้นกำหนดไว้ได้เลย ระดับอนุบาล จะจดทะเบียนได้เมื่อลูกมีอายุ 3 ขวบ เมื่อเราเห็นว่าลูกพร้อมที่จะ Homeschool…