Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

ไขความลับ พัฒนาสมองลูกรักด้วย “สฟิงโกไมอีลิน”

นพ.วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์กุมารแพทย์ โรคระบบประสาท “สฟิงโกไมอีลิน” สารอาหารที่พบมากในนมแม่  นม ผลิตภัณฑ์นม ช่วยในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมอง  การเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองแต่ละส่วน  (brain connection) ซึ่งคือกลไกที่สำคัญที่สุดในการทำงานของสมอง ซึ่งต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การทำงานของสมองจึงจะมีประสิทธิภาพ หรือเปรียบเสมือนกับการใช้อินเทอร์เน็ต 5G การเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณของสมองต้องอาศัยการสร้างปลอกไมอีลิน เริ่มสร้างตั้งแต่อยู่ในครรภ์และสร้างอย่างต่อเนื่องอย่างรวดเร็วภายใน 2 ปีแรกหลังคลอด และถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น  “สฟิงโกไมอีลิน” สารอาหารที่พบมากในนมแม่  นม ผลิตภัณฑ์นม ช่วยในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมอง  การเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองแต่ละส่วน …

เช็คลิสต์ง่ายๆ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อนมโคแท้

เด็กวัย 1-3 ขวบ เป็นช่วงวัยที่สมอง ร่างกาย จิตใจ กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็ก ๆ จึงมักชอบทำกิจกรรมหลากหลาย มีความอยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง สนใจที่จะสำรวจสิ่งรอบตัว ร่างกายจึงต้องการพลังงาน และสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา นมโคแท้ 100% คุณภาพสูงเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมจากคุณแม่เพราะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่ามีสารอาหารธรรมชาติที่เป็นประโยชน์แก่ลูกน้อย ซึ่งตรงกับความต้องการของคุณแม่ที่ปรารถนาให้ลูกน้อยได้มีพัฒนาการที่ดีสมวัย สามารถทำกิจกรรมและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็เติบโตแข็งแรงอย่างเป็นธรรมชาติ วิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นมโคแท้นั้น สังเกตได้ง่ายๆ จากส่วนประกอบข้างกล่อง ซึ่งมักระบุชัดเจนว่ามีน้ำนมโคสดแท้กี่เปอร์เซ็นต์ และในแต่ละกล่องประกอบด้วยสารอาหารชนิดใดบ้าง…

แนะนำคำพูดเปิดประเด็น เรื่องเลี้ยงลูก

เรื่องวิธีการเลี้ยงลูกนั้นเป็นประเด็นอ่อนไหวที่ทำให้หลาย ๆ บ้านต้องพบกับความขัดแย้ง เนื่องจากความคิดความเชื่อและประสบการณ์ที่แตกต่าง คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงแบบนี้ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็มีวิธีการเลี้ยงอีกแบบหนึ่ง หลายครั้งเราจึงพบว่าเด็ก ๆ เองก็สับสนกับข้อตกลงหรือกติกาในบ้าน คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ก็ไม่สบายใจหรือบาดหมางใจกันทั้ง ๆ ที่ต่างก็รักลูกรักหลานเช่นเดียวกัน แล้วเราจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี  เทคนิควิธีสื่อสารด้วยหัวใจ ในประเด็นเรื่องการเลี้ยงลูก  1. อย่างแรก คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าลูก (หลาน) คือ แก้วตาดวงใจของทุกคน ทุกคนไม่ว่าจะคุณพ่อคุณแม่หรือคุณตาคุณยายก็อยากจะดูแลให้ดีที่สุด แต่ความหมายของคาว่า “ดีที่สุด”…

ปรับอารมณ์-ชีวิตเปลี่ยน

คุณพ่อคุณแม่ทราบกันหรือไม่ว่า “ความมั่นคงทางอารมณ์” ของคุณพ่อคุณแม่นั้น ส่งผลต่อการเลี้ยงดูลูกอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงทางอารมณ์เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวังหรือเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ เคยสังเกตตัวเองกันบ้างไหมว่า เวลาที่เราต้องรับมือกับความไม่ได้ดั่งใจ เวลาที่ลูกดื้อ เวลาที่ลูกไม่เชื่อฟัง เราจัดการกับเหตุการณ์นั้นด้วยอารมณ์แบบใด  การรับมือกับความผิดด้วยความโกรธ  พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่รับมือกับความผิดของลูกด้วยอารมณ์โกรธและการลงโทษโดยปราศจากการสื่อสารที่ดี เมื่อเราโกรธลูก สิ่งที่สะท้อนกลับหรือผลลัพธ์ที่ได้จากลูกคือการต่อต้าน เราจะเห็นได้ว่าเมื่อพ่อแม่เสียงดัง ลูกมักจะอาละวาดและเสียงดังตามไป ยิ่งลูกเสียงดัง อารมณ์โกรธของคุณพ่อและคุณแม่ยิ่งพุ่งขึ้นถึงขีดสุด หลายครั้งจึงจบลงด้วยการตีหรือการทำให้ลูกหวาดกลัว แม้ว่าสุดท้ายพ่อแม่อาจจะบังคับหรือยุติพฤติกรรม ณ ขณะนั้นของลูกได้ แต่ในระยะยาวเรากลับพบว่า การรับมือกับความผิดของลูกด้วยอารมณ์โกรธนั้น ไม่ได้ช่วยเสริมพัฒนาการหรือวินัยในตนเองให้แก่เด็กๆเลย แล้วเราควรทำอย่างไร เพื่อรับมือกับเรื่องนี้  พ่อและแม่ควรเข้าหาลูกด้วยความเข้าใจ = เปิดให้โอกาสเด็กๆคิดวิเคราะห์และตัดสินใจ…

พ่อแม่รังแกฉัน

ความรักที่พ่อและแม่มีให้กับลูกนั้น เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะอธิบายด้วยคำใดได้ แต่คุณพ่อคุณแม่เคยทราบกันบ้างหรือไม่ว่า บางครั้งเราก็ทำร้ายหรือรังแกลูกด้วยการแสดงออกถึงความรักหรือการทุ่มเทให้ความรักด้วยวิธีที่ผิดที่ผิดทางจนลูกของเราไม่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆที่เขาต้องเผชิญด้วยตัวเองตามวัยของเขาได้ อย่างที่ใครๆหลายคนเรียกว่า “พ่อแม่รักแกฉัน” วันนี้เรามาดูกันว่า พ่อแม่รังแกลูกด้วยวิธีใดได้บ้าง  อย่ารังแกลูกด้วยการปล่อยให้ลูกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  เด็กๆที่ถูกตามใจ ไม่เคยโดนขัดใจ เมื่อเรียกร้องต้องการหรืออยากได้อะไรจะใช้วิธีตั้งเงื่อนไขกับคุณพ่อคุณแม่ และคุณพ่อคุณแม่หลายท่านยินยอมที่จะทำตามเงื่อนไขนั้นๆเสมอๆ บางครั้งเพราะสงสารลูก บางครั้งเพื่อให้เรื่องราวๆต่างๆสงบลง เช่น เมื่อคุณแม่ขอให้ลูกรอคอยอะไรบางอย่าง ลูกอาจจะสร้างเงื่อนไข “ต้องซื้อของเล่นให้หนูนะ หนูถึงจะยอมนั่งรอสงบๆ” “ต้องซื้อเดี๋ยวนี้ หนูรอไม่ด้ายยย” เมื่อไม่ได้ของเล่นลูกจะอาละวาดโวยวาย และคุณพ่อคุณแม่ต้องยอมซื้อให้ในที่สุด เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เด็กๆจะคิดว่าทุกสิ่งในโลกนี้จะต้องได้อย่างที่เขาอยากได้ เขาจะไม่รู้จักคาว่ารอ และจะโวยวายอาละวาดเสมอเมื่อไม่ได้ดั่งใจ พ่อแม่หลายคนคิดว่าเมื่อเติบโตขึ้นนิสัยเช่นนี้จะหายไปเองแต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด แม้ว่าเมื่อเด็กๆโตขึ้นจะระงับตัวเองได้มากขึ้นตามวัย…

โพสต์ถามเรื่องลูก โปรดคิดให้ดี!

ในยุคที่หันไปทางไหนก็มีแต่คนเล่นเฟสบุ๊ค อินสราแกรม ไลน์ โลกโซเซียลเน็ตเวิร์คขยับเข้ามาใกล้จนเราแทบจะไม่สามารถแยกตนเองออกจากสังคมออนไลน์ การโพสต์รูปลูก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ ไลฟ์สไตล์หรือพัฒนาการของลูก เป็นความสุขและความชื่นใจของคนเป็นพ่อแม่ จนบางครั้งเราอาจจะหลงลืมไปว่าการโพสต์รูปเรื่องราวเกี่ยวกับลูกในสังคมออนไลน์นั้น ก็มีข้อควรระวังอยู่เช่นกัน  จากการรวบรวมข้อมูลวิจัยในการใช้สังคมออนไลน์ของพ่อและแม่ (ต่างประเทศ) พบว่า การที่พ่อแม่ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือ "Sharenting" ในการติดต่อสื่อสารรายละเอียดข้อมูลเด็กนั้นมีเป็นจำนวนมาก โดย98% ของแม่จะโพสต์ถามเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก และ 89% ของพ่อจะโหลดรูปภาพเด็กลงเฟสบุ๊ค โดยพ่อและแม่ส่วนใหญ่ ชอบถึงชอบมากที่รูปของลูกได้รับการตอบรับ การโพสต์รูปลูกในสังคมออนไลน์แล้วได้รับการตอบรับที่ดีนั้นส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่พึงพอใจในบทบาทของการเป็นพ่อแม่มากขึ้นด้วย นั่นก็สื่อความหมายได้ว่า พ่อและแม่มีแนวโน้มที่จะโพสต์ แชร์ รูปและข้อมูลของลูก “บ่อยขึ้นๆ” หลายคนคงสงสัยว่า…

ลูกไม่พูดความจริง ทำยังไงดี

คุณพ่อและคุณแม่ทุกคนล้วนมีความตั้งใจที่เหมือนกันในเรื่องอยากให้ลูก ๆ เป็นเด็กดี สิ่งหนึ่งที่เรามักจะย้ำกับลูกเสมอ คือ มีอะไรให้บอกพ่อกับแม่ “พูดความจริงกับพ่อและแม่นะคะ” “อย่าโกหกนะครับลูก” แต่ดูเหมือนว่าการสร้างลูกให้เป็นเด็กดี พูดความจริงกับพ่อและแม่เสมอนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย คุณพ่อคุณแม่แทบทุกบ้านจึงต้องหาวิธีการในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ลูกไม่พูดความจริง หรือโกหกในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ แล้วเราจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี  วิธีรับมือเมื่อลูกไม่พูดความจริง  เมื่อลูกไม่พูดความจริงกับคุณพ่อคุณแม่ สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำ คือ การทบทวนและสำรวจตนเอง สำรวจวิธีการที่เราแสดงออกกับลูกเมื่อเขาทำในสิ่งที่ผิดพลาดไป อาทิ เมื่อลูกทำน้ำหก หรือทำขนมหกในบ้านหรือบนอุปกรณ์สำคัญ คุณพ่อคุณแม่มีวิธีการรับมืออย่างไร หากคุณพ่อคุณแม่รับมือด้วยอารมณ์โกรธ ลูกจะจดจาว่าเมื่อเกิดความผิดพลาดคุณพ่อคุณแม่จะโกรธ หากเค้าบังเอิญทำผิดซ้ำและไม่อยากพบกับอารมณ์โกรธแบบนั้น…

สื่อสารให้ลูกเข้าใจแบบไม่ต้อง “บ่น” กันเถอะ

มนุษย์ทั้งหลาย ไม่มากก็น้อยคงต้องเคยเจอข้อหา “ขี้บ่น” จากลูกๆ ใครไม่บ่นถือว่ายอดคน ยอดคุณแม่ เพราะในแต่ละวัน มีเรื่องราวมากมายที่ชวนให้คุณแม่ต้องหงุดหงิดใจ แต่คุณแม่อาจจะยังไม่รู้ว่า “การบ่น” ที่คุณแม่ต้องสูญเสียพลังงานมากมายมหาศาลในการพูดออกไปนั้น ไม่ได้ช่วยให้เด็กๆ (อันที่จริงก็ทุกวัย) มีพัฒนาการหรือรับรู้ความต้องการของคุณแม่ได้สักเท่าไหร่เลย  ทาไมการบ่นจึงไม่ได้ผล  เพราะการบ่นแตกต่างกับการเปิดโอกาสให้ลูกเรียนรู้อย่างมาก ในเวลาที่เราบ่น เรามักจะพูดไปเรื่อยๆ จับโน่นโยงนี่เพื่อระบายออกซึ่งความรู้สึกหรืออารมณ์ไม่ได้อย่างใจของเรา ดังนั้นสารที่เราสื่อออกมาอย่างชัดเจนในการบ่นคือ “อารมณ์ไม่พอใจ” ในขณะที่เนื้อหาสาระนั้นผู้ฟังจะรับรู้ได้น้อยมากเพราะอารมณ์ขุ่นเคืองมันกลบความชัดเจนของเนื้อหา ลูกจึงรับรู้ได้ถึงอารมณ์ไม่พอใจมากกว่ารับรู้ถึงสิ่งที่คุณอยากให้เขาทาหรือฟัง นอกจากนี้ การบ่นมักจะเป็นการพูดซ้ำๆ ย้ำๆ วกวนและขาดความชัดเจน จะทำให้ลูกรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าแม่ต้องการอะไร ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการหรือความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ …

เพราะพ่อแม่คือต้นแบบของลูก

คุณพ่อคุณแม่หลายคนสงสัยมากว่า “พร่ำสอนลูกไปมากมายทำไมลูกไม่จำหรือไม่ทำตามสักที” หลายคนคิดว่าที่ลูกไม่ทำตามคำสั่งสอนนั้นเป็นเพราะลูกนั้นดื้อ แล้วเคยคิดทบทวนบ้างไหมคะว่า ที่ว่าเด็กดื้อนั้น ดื้อเหมือนใคร ….คำตอบก็คือ เด็กๆดื้อเหมือนคนที่เลี้ยงดูเขามา เพราะไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะพยายามพร่ำสอนลูกด้วยหลักการหรือหลักธรรมใดใด แต่สุดท้ายแล้วลูกจะนำเอา “วิธีการ” ที่เราใช้มาเป็น “รูปแบบ” ที่เด็กๆจะจดจำและนำไปใช้เป็นแบบอย่างเสมอ ทั้งวิธีการในด้านบวกและด้านลบ ยกตัวอย่างให้เห็นกันได้โดยง่าย เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้สึกโกรธและต้องการให้ลูกหยุดพฤติกรรมที่กำลังทาอยู่ หลายครั้งที่พ่อแม่ตะคอกหรือส่งเสียงดังใส่ลูก และแน่นอนว่าลูกเองก็จดจาพฤติกรรมเช่นนั้นมาด้วย เมื่อเขาโกรธโมโหหรือต้องการให้คนรอบข้างหยุดพฤติกรรมต่างๆ เด็กๆจะตะคอก ตวาด เช่นเดียวกับเวลาที่คุณพ่อคุณแม่โมโหเช่นกัน ดังนั้น ต่อให้คุณพ่อคุณแม่เพียรสอนสั่งเท่าไหร่ว่าอย่าตวาดหรือส่งเสียงดังก็คงจะไม่ได้ผล แล้วจะทำอย่างไรถ้าพ่อแม่มีมุมที่ไม่โอเคอยู่บ้าง  คนเป็นพ่อเป็นแม่จะโกรธลูกไม่ได้เลยหรือ โกรธหรือโมโหลูกแล้วจะต้องทำอย่างไร…

เด็กๆควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเท่าไหร่ดี

ในยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าเด็กกับสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นของคู่กันอย่างหลักเลี่ยงได้ยาก พ่อแม่หลายบ้านที่อดใจไม่ไหวหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือให้ลูกเพื่อแลกกับความสุขสงบ แลกกับการที่ลูกยอมทานอาหาร หรือแลกกับการทำภารกิจอื่นๆในชีวิตประจาวัน การปล่อยเด็กไว้กับจอทีวีหรือจอมือถือนั้นจะส่งผลเสียทั้งในด้านพัฒนาการของสมองและร่างกาย เหล่ากุมารแพทย์จึงต่างพากันออกมาเตือนถึงภัยของการใช้สมาร์ทโฟนที่มากเกินไปสาหรับวัยเด็ก โดยสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาประกาศไว้ว่า เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทุกชนิด เพราะเด็กจะขาดโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม  แล้วเด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปีล่ะ จะใช้เวลาอยู่หน้าจอได้นานเท่าไหร่ถึงไม่อันตราย  ในทางทฤษฎีนั้นเด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปี สามารถดูสมาร์ทโฟนหรือสื่ออิเลคทรอนิคก์ได้ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง/วัน แต่ถ้าพบว่าเด็กมีปัญหาด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ควรงดการอยู่กับสื่อทันที และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังไม่มั่นใจว่า การอนุญาตให้ลูกดูทีวีหรือสมาร์ทโฟน 1-2 ชั่วโมงต่อวันนั้น ควรพิจารณาจากสิ่งใด อันที่จริงแล้วไม่มีข้อกาหนดที่ตายตัวในเรื่องนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถพิจารณาได้จากตัวของเด็กๆเอง…