นมแม่นอกจากมีสารอาหารที่ลูกต้องการต้องการอย่างครบถ้วนแล้ว คุณแม่ทราบไหมค่ะว่าการที่ลูกได้กินนมแม่นั้นจะส่งผลดีต่อเด็กไปจนตลอดชีวิต
คุณแม่เตรียมน้ำนมแม่ให้พร้อมเพื่อลูกน้อยกันหรือยังคะ ?
น้ำนมแม่เสริมสร้างสมองลูก
นมแม่มีสารอาหารดูแลสมองของลูกน้อย รายงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford University และ the Institute for Social and Economic Research, Essex University พบว่านมแม่ช่วยพัฒนาสมองด้านความจำและยังช่วยด้านการเเรียนรู้ เมื่อลูกถึงวัยเรียน
น้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกัน
นมแม่ช่วงแรกคลอดจะเป็นหัวน้ำนมข้น ๆ สีเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดที่มีประโยชน์ต่อทารก โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันหลายชนิด ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ภูมิแพ้ ท้องร่วง และโรคอ้วน ฯลฯ
อาหารที่แม่กินสำคัญสุด ๆ
คุณแม่จึงจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษค่ะ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบครบทุกหมวดหมู่ กินให้พอเพียง กับที่ร่างกายต้องการ เลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพแม่และลูก เช่นอาหารปนเปื้อนสารเคมี สารพิษ…
ในหลายประเทศทั่วโลกมีกฎหมายบังคับใช้คาร์ซีทเพื่อดูแลความปลอดภัยของเด็กหากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์สำหรับประเทศสิงคโปร์กฎหมายกำหนดว่าเด็กที่มีความสูงน้อยกว่า 135 ซ.ม.แล้วไม่นั่งคาร์ซีทขณะเดินทางบนท้องถนนถือว่าผู้ใหญ่ที่ดูแลฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของกฎหมาย มีความผิดค่พ
คาร์ซีทในรถโรงเรียนนานาชาติ
ที่น่าทึ่งก็คือนอกจากในรถยนต์แล้ว รถรับส่งของโรงเรียนในประเทศสิงคโปร์ก็มีการใช้คาร์ซีทด้วย ถ้าไม่ได้เห็นภาพเราอาจจะนึกไม่ออกว่าคาร์ซีทแต่ละที่นั่งมีขนาดใหญ่ จะนำไปติดตั้งในรถโรงเรียนให้ครบตามจำนวนเด็กได้อย่างไร
ราคาของคาร์ซีทใช่ว่าจะถูก โรงเรียนจะยอมทุ่มทุนเชียวหรือ
แต่ว่าโรงเรียนนานาชาติ Stamford American International School ทำได้ แล้วเขาทำได้อย่างไร ?
คาร์ซีทพกพาคือคำตอบ
ถ้าใช้คาร์ซีททั่วไปติดตั้งในรถโรงเรียนคงเป็นไปไม่ได้แน่ โรงเรียนนานาชาติแห่งนี้จึงเลือกใช้คาร์ซีทพกพาที่เล็กที่สุดในโลกของ Mifold ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าคาร์ซีททั่วไป 10 เท่า เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียนหากเกิดอุบัติเหตุขณะเดินทาง
Mifold เล็กแต่เวิร์ก
รูปร่างหน้าตาของคาร์ซีทพกพา Mifold มีลักษณะเป็นแค่กล่องแบน ๆ เล็ก ๆ ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ปรับระดับสายเข็มขัดนิรภัยให้ลงมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมโดยไม่ต้องมีเก้าอี้นั่ง ที่น่าสนใจก็คือสามารถนำไปติดตั้งไว้บนรถคันไหนก็ได้ รถบัส รถแท็กซี่ รถตู้ หรือขึ้นรถคันอื่นก็พกพาไปใช้ได้เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เด็ก ๆ หากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนเรื่องความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะมีราคาถูกมาก…
คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมวางแผนการเงินสำหรับลูกนะคะ สำคัญมาก ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการเลี้ยงดูลูกตั้งแต่ยังเล็กไปจนเขาเรียนจบ จะว่าไปตั้งแต่ก่อนท้องก็มีค่าใช้จ่ายแล้ว มาดูกันว่าแม่แอร์มีคำแนะนำดี ๆ อะไรมาฝากกันบ้าง
คลิกชมกันเลยค่ะ > > เลี้ยงลูกสมัยนี้แพงมากอย่าลืมวางแผนกันนะจ๊ะ
ทราบไหมคะว่าประเทศไทยของเราติดอันดับ 6 ของโลกที่มีอุบัติเหตุจราจร !
คุณพ่อคุณแม่มั่นใจในการดูแลความปลอดภัยของลูกขณะเดินทางแล้วหรือยังคะ เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องไกลตัวของทุกคนรวมทั้งลูกน้อยของเราค่ะ
คาร์ซีทจึงมีความสำคัญต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของลูกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใช้รถยนต์จำเป็นต้องติดตั้งที่นั่งนิรภัยหรือคาร์ซีทสำหรับลูกด้วยเสมอ
คาร์ซีทมีให้เลือกหลายแบบ โดยทั่วไปมักจะพบแบบที่เป็นเก้าอี้ติดตั้งค่อนข้างถาวรไว้ในรถ ถึงแม้ว่าจะถอดออกได้จริงแต่ก็ไม่สะดวกมากนัก คุณพ่อคุณแม่จะมั่นใจในความปลอดภัยยามเดินทางของลูกก็ต่อเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวที่คุณพ่อคุณแม่ขับเอง แล้วรถคันอื่นล่ะจะดูแลความปลอดภัยกันอย่างไร
เพราะฉะนั้นคาร์ซีทแบบพกพาจึงตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยของลูกขณะเดินทาง ไม่ว่าจะโดยสารรถแบบไหนก็ตาม
ความน่าสนใจของคาร์ซีทแบบพกพา
1.พกพาสะดวก สามารถใช้ในรถยนต์ส่วนตัว และพกติดตัวไปใช้รับรถคันอื่น ไม่ว่าจะเป็น รถแท็กซี่ รถตู้ รถเช่า ฯลฯ พกพาไปใช้เมื่อเดินทางใกล้หรือไกลแค่ไหน ในประเทศหรือต่างประเทศก็ย่อมใช้ได้
2.มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา จึงไม่กินเนื้อที่เมื่อติดตั้งในรถยนต์
3.นั่งแล้วไม่อึดอัด เพราะไม่ใช่เก้าอี้ แต่มีลักษณะเป็นสายคาดแบบเข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่ สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก เด็กที่โตหน่อยจะรู้สึกว่าไม่อยากนั่งคาร์ซีทเพราะดูเหมือนเด็กเล็ก ๆ
4.ไม่ต้องเปลี่ยนขนาด เด็กช่วงวัย 4-12 ปีโตเร็ว ไม่จำเป็นต้องซื้อคาร์ซีทตัวใหม่เมื่อลูกตัวโตขึ้น
5.คาร์ซีทแบบพกพาราคาถูกกว่าคาร์ซีทปกติที่มีคุณภาพในระดับเดียวกัน
แล้วอย่าลืมเลือกคาร์ซีทแบบพกพาที่มีคุณภาพสูงด้วยนะคะ เพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัยของลูกรัก แนะนำคุณพ่อคุณแม่ว่าก่อนตัดสินใจซื้อ ดูว่ามีมาตรฐานรับรองที่น่าเชื่อถือหรือไม่ หรือถ้าได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ในระดับสากลก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการใช้มากขึ้นค่ะ
ขณะโดยสารรถยนต์ ผู้ใหญ่คาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย ลูกตัวโตอายุเกิน 12 ขวบมักจะใช้เข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่ แล้วลูกเล็กล่ะมีอะไรปกป้องเขาได้หากเกิดอุบัติเหตุขณะเดินทาง
การอุ้มเด็กนั่งเบาะหลังดูเหมือนว่าจะปลอดภัยดี แต่มักพบว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุเด็กจะได้รับอันตรายรุนแรงจากการกระแทกกับตัวรถหรือกระเด็นออกนอกตัวรถ
คาร์ซีทจึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กค่ะ
รายงานจาก WHO หรือองค์การอนามัยโลกกล่าวว่าการใช้เบาะนิรภัยสำหรับเด็กสามารถลดอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยลดโอกาสเกิดการสูญเสียชีวิตของเด็กได้ถึง 70 %
จะดีแค่ไหนถ้าความปลอดภัยพกพาได้
คาร์ซีทที่พบเห็นโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นเก้าอี้นั่งบุนวมติดตั้งในรถยนต์ แต่คาร์ซีทแบบพกพามีขนาดเล็กมาก สามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ นั่นก็คือ Mifold นวัตกรรมนี้คิดค้นขึ้นมาจากไอเดียของ Mr. Jon Sumroy คุณพ่อที่เป็นห่วงสวัสดิภาพยามเดินทางของลูก ๆ ทั้ง 4 คนของเขา
จุดเด่นของคาร์ซีทแบบพกพา
1.มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ผลิตด้วยวัสดุเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องบิน จึงมีความแข็งแรง ทนทาน และน้ำหนักเบา เมื่อเกิดอุบัติเหตุสามารถปกป้องความปลอดภัยให้ลูกได้ และได้รับการรับรอง Regulatory Approval จาก US & EU
2.ได้รับ 14 รางวัลระดับสากลจากนานาประเทศทั้งรางวัลด้านความปลอดภัยและการดีไซน์ที่เหมาะสม…
คนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกในทุกเรื่อง รวมทั้งขณะเดินทางโดยรถยนต์ด้วยใช่ไหมคะ คำถามก็คือ…เราปกป้องลูกให้ปลอดภัยจากอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจหรือคิดว่าลูกปลอดภัยในยามเดินทางเพียงพอแล้ว มาดูข้อเท็จจริง 6 ข้อนี้กันค่ะ
1.การที่ในรถไม่มีที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือคาร์ซีท หากเกิดอุบัติเหตุรถชน โอกาสเกิดอันตรายจะมีสูง ทั้งจากตัวเด็กกระแทกกับตัวรถหรือกระเด็นออกนอกรถ
2.WHO องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า การใช้คาร์ซีทช่วยลดอันตรายจากอุบัติเหตุและลดโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 70 %
3.เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีควรนั่งเบาะหลังเท่านั้น และใช้คาร์ซีท หากตัวโตพอจะใช้เข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถยนต์ สายรัดจะต้องอยู่ในจุดที่ไม่เป็นอันตรายกับตัวเด็ก
4.การอุ้มเด็กนั่งเบาะหลังไม่ปลอดภัยเพียงพออย่างแน่นอน หากเกิดอุบัติเหตุรถชนรุนแรงรถจะหยุดกะทันหัน มักพบอุบัติเหตุที่เด็กไม่ได้อยู่ในที่นั่งนิรภัยจึงไม่มีสิ่งยึดตัวไว้ จะกระแทกกับตัวรถ หรือหลุดกระเด็นออกนอกรถ
5.ไม่ควรให้เด็กอายุไม่ถึง 13 ปีหรือตัวยังไม่โตพอคาดเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถยนต์ เพราะเป็นของที่ทำขึ้นมาเพื่อให้พอดีกับขนาดตัวของผู้ใหญ่ หากเกิดอุบัติเหตุสายเข็มขัดนิรภัยอาจบาดหน้าหรือคอเด็ก เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและชีวิตของเด็ก
6.เด็กทุกวัยควรใช้คาร์ซีท ซึ่งควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดตัวของเด็ก
เด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบควรใช้คาร์ซีทแบบหันหน้าไปทางท้ายรถ เพราะเด็กวัยนี้ศีรษะใหญ่กระดูกคออ่อนอยู่ การนั่งหันไปข้างหน้าเวลาเกิดอุบัติเหตุศีรษะจะสะบัดไปด้านหน้าและกลับมาข้างหลังกระดูกต้นคอหักได้ง่าย ควรปรับเปลี่ยนขนาดคาร์ซีทให้เหมาะกับตัวลูกเมื่อโตขึ้น คาร์ซีทพกพาเหมาะกับเด็กวัย 4-12 ขวบ เพราะเป็นการใช้ร่วมกับสายคาดนิรภัยที่ติดอยู่กับรถยนต์สามารถปรับขนาดสายให้เหมาะกับตัวเด็ก
ทั้ง 6 ข้อนี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ประเมินได้ว่าดูแลความปลอดภัยให้ลูกยามเดินทางเพียงพอแล้วหรือยัง ถ้ายังควรเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ลูกโดยด่วนค่ะ
มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมามากมายเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของเรา นวัตกรรมบางอย่างก็มีประโยชน์กับเด็ก ๆ มากค่ะ หนึ่งในบรรดาปัญหาที่คุณแม่กังวลใจก็คือจะทำอย่างไรให้ลูกดื่มน้ำพอเพียงในแต่ละวัน ซึ่งตรงผลวิจัยของ Harvard School of Public Health รายงานว่าเด็กเกินกว่า 50 % ในสหรัฐฯ ดื่มน้ำน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ งานวิจัยยังบอกอีกว่าการดื่มน้ำน้อยส่งผลเสียต่อสมองทั้งทางด้านความจำและอารมณ์
นอกจากสมองแล้วน้ำยังมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง ช่วยให้การทำงานของร่างกายเป็นไปตามปกติ ทั้งระบบไหลเวียนโลหิต การเผาผลาญ การควบคุมอุณหภูมิ และการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย
บริษัท Bowhead Technology ได้คิดค้นกระติกน้ำสุดไฮเทคชื่อ Gululu ช่วยให้การดื่มน้ำเป็นเรื่องสนุกสนานเพื่อให้เด็ก ๆ ดื่มน้ำกันมากขึ้น ความอัจฉริยะของกระติกน้ำ Gululu ก็คือ เป็นกระติกน้ำที่มีเกมสัตว์เลี้ยงให้เล่น โดยกระติกน้ำจะสามารถวัดปริมาณการดื่มน้ำได้
คุณแม่คงสงสัยใช่มั้ยคะว่าเกมจะชวนให้เด็กสนุกกับการดื่มน้ำอย่างไร ทุกครั้งที่ลูกดูดน้ำจะเป็นการเติมพลังให้สัตว์เลี้ยงมีความสุขและโตขึ้น การดื่มน้ำต้องครบตามลิมิตที่ตั้งไว้ โดยใส่ข้อมูล น้ำหนัก อายุ และ กิจกรรมในแต่ละวันของลูก มีการแบ่งลิมิตการดื่มน้ำให้ครบ ถ้าดื่มครบจะได้ Gems สะสมไว้ซื้อไอเทมแต่งตัวสัตว์เลี้ยงจากใน…
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตเราทุกคนรวมทั้งเด็ก ๆ ด้วยค่ะ ในแต่ละวันคุณแม่ต้องดูแลลูกให้ดื่มน้ำอย่างพอเพียง เพราะเด็ก ๆ มักจะมีโอกาสดื่มน้ำน้อย เนื่องจากไม่ได้สนใจจะดื่ม หรือเพลิดเพลินกับการเล่น เด็กบางคนก็ไม่ชอบดื่มน้ำเอาเสียเลย ปัญหานี้อาจทำให้คุณแม่กังวลถึงสุขภาพลูกมิใช่น้อย
แน่นอนว่าการดื่มน้ำน้อยจะส่งผลเสียต่อสุขภาพลูกหลายด้าน ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายรวมทั้งเซลล์สมองไม่ได้น้ำไปหล่อเลี้ยงอย่างเต็มที่ ร่างกายระบายความร้อนไม่ได้ดี มีปัญหาท้องผูก ผิวหนังและริมฝีปากแห้งแตก สมองตื้อ อารมณ์ไม่แจ่มใส หากขาดน้ำมาก ๆ อาจทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือช็อกได้
Motherandcare มีเคล็ดลับช่วยให้ลูกดื่มน้ำเพิ่มมาฝากคุณแม่
1.หลังจากอายุเกิน 6 เดือนไปแล้วเริ่มฝึกให้ลูกจิบน้ำ และเมื่อโตขึ้นอีกหน่อยให้ลูกจิบน้ำบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย
2.อย่าบังคับให้ดื่มครั้งละมาก ๆ เพราะลูกจะรู้สึกไม่อยากดื่ม ให้จิบทีละน้อยแบ่งเป็นหลาย ๆ ครั้งตลอดวันจะดีกว่า
3.หาแก้วน้ำลายน่ารักที่ลูกชอบมาให้ใช้
4.หากระติกน้ำขนาดพอเหมาะกับตัวลูกลายน่ารักให้เขาพวกเวลาพาเขาเดินทางไม่ว่าใกล้ไกล
5.วางขวดหรือแก้วน้ำไว้ใกล้ตัวลูก ทั้งในบ้าน และตอนออกไปวิ่งเล่นในสนาม
6.ให้ลูกดื่มน้ำผลไม้รสไม่หวานจัดจะหลับบ้างแก้เบื่อ
7.หากลูกเล่นซนเหงื่อออกมาก ท้องเสีย อาเจียน ร่างกายสูญเสียน้ำไปมาก คุณแม่ต้องช่วยชดเชยให้ลูกด้วยการให้เขาดื่มน้ำ
เพียงแค่ 7 เคล็ดลับง่าย…
คุณแม่บางท่านอาจสงสัยว่า การดื่มน้ำมีวิธีที่ถูกและผิดด้วยหรือ จะเรียกว่าผิดเสียทีเดียวก็อาจจะไม่ใช่เพียงแต่ว่าบางวิธีที่ใช้อยู่ยังไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เช่น บังคับให้ลูกดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ ให้ลูกดื่มน้ำหวานตามใจชอบโดยไม่กำหนดปริมาณที่เหมาะสม ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม น้ำแร่ หรือชากาแฟ
3 วิธีฝึกลูกให้ได้ประโยชน์จากการดื่มน้ำ
1.ให้จิบบ่อย ๆ ระหว่างวัน อาจจะครึ่งแก้วบ้าง 1 แก้วบ้าง เฉลี่ยไปทั้งวันยกเว้นใกล้เวลานอนเพราะจะทำให้ปัสสาวะตอนกลางคืน การให้ลูกได้รับน้ำตลอดทั้งวันจะดีต่อร่างกายมากกว่าการให้ดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ
2.ฝึกให้ดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก อนุญาตให้ดื่มน้ำหวานได้บ้างแต่ต้องไม่มาก เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกได้รับน้ำตาลเกินและฟันไม่ผุ
3.ฝึกให้ดื่มน้ำในอุณหภูมิห้อง เวลาเป็นไข้ไม่สบายจะไม่ต้องเรียกร้องขอดื่มน้ำเย็น แต่ก็ไม่ควรเคร่งครัดถึงกับห้ามดื่มน้ำเย็นเลย เด็กบางคนชอบน้ำเย็นเพราะดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น
ดูแลลูกแล้วคุณแม่เองก็อย่าลืมดื่มน้ำนะคะ
ถ้าพูดถึงการบำรุงสมองแล้ว คุณพ่อคุณแม่มักจะนึกถึงเรื่องอาหารการกินของลูกเป็นอันดับแรกใช่ไหมคะ จะคอยดูแลให้เขาได้รับอาหารดี ๆ มีประโยชน์ครบถ้วน แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากเรียกได้ว่าถ้าขาดแล้วสมองแย่แน่ นั่นก็คือ “น้ำ” ค่ะ
หากในแต่ละวันลูกดื่มน้ำน้อยเกินไป จะส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ได้รับน้ำไม่เพียงพอ นอกจากจะก่อปัญหากับการทำงานของร่างกายแล้ว ยังมีผลต่อสมองอย่างยิ่งผลเสียเมื่อสมองลูกขาดน้ำ
1.ขาดสมาธิ บทความหนึ่งที่ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Psychology Today กล่าวว่ามีรายงานการวิจัยหลายชิ้นพบว่า ถ้าร่างกายขาดน้ำ สมองของเราจะไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2.ความจำไม่ดี สมองของคนเราบันทึกทั้งความจำระยะสั้นและความจำระยะยาวค่ะ ความจำระยะสั้นก็คือการจำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้ได้ การขาดน้ำจะทำให้ลืมเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้มาเมื่อไม่นาน เช่น จำสิ่งที่เพิ่งบอกไปเมื่อครู่หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ได้ ส่วนความจำระยะยาวคือเรื่องราวที่สมองบันทึกไว้นานมาแล้ว หากขาดน้ำจะทำให้นึกย้อนไปหาข้อมูลเก่า ๆ ได้ช้าลง
3.เรียนรู้ช้า เมื่อขาดสมาธิและความจำไม่ดี จึงส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งการเรียนรู้โลกรอบตัวและการเรียนหนังสือ เนื่องจากการเรียนรู้และการคิดต้องอาศัยข้อมูลเก่ากับข้อมูลใหม่ร่วมกันเพื่อประมวลผล ลูกต้องจำคำศัพท์ได้ก่อนถึงจะเรียบเรียงประโยคได้ ลูกต้องจดจำตัวเลขและจำวิธีบวกลบคูณหารได้ก่อนจึงจะตอบโจทย์คำนวณได้
4.ขาดพลัง สมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 85% ถ้าสมองขาดน้ำจะรู้สึก ว่าสมองตื้อคิดอะไรไม่ออกและขาดพลังความคิด การได้ดื่มน้ำอย่างพอเพียงจะทำให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองรวดเร็วขึ้น
5.อารมณ์ไม่สดชื่น การดื่มน้ำไม่เพียงพอจะส่งผลต่ออารมณ์ทำให้รู้สึกไม่สดชื่น…